วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

3180 : tank trailer truck







ซื้อจาก Central Plaza ขอนแก่น

เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน

[size=20pt]ผมอัดอั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอควร ในที่สุดก็มีบทความที่ทำให้ผมได้รู้สึกว่า "I NEVER WALK ALONE" เกี่ยวกับเรื่องนี้[/size]

[center]เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน[/center]

โลกร้อนขึ้นคงไม่มีใครสงสัย การรักษาสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่การรณรงค์เรื่องโลกร้อนทำให้ใครได้ ใครเสียประโยชน์ ประเด็นนี้เป็นกรณีศึกษาของการโฆษณาชวนเชื่อในการทำให้ประชาชนมืดบอดหรือไม่ และถือเป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” สำหรับใครบางคนหรือไม่
ทุกวันนี้ แทบทุกคนคงได้ยินเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และเชื่อว่าทุกคนที่ได้ฟังคงชักห่วงใยต่อโลกในประเด็นนี้เช่นกัน แต่เมื่อนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการรณรงค์เรื่องโลกร้อน <3> ผมกลับเริ่มสงสัยว่าสันติภาพไม่น่าจะเกี่ยวกับโลกร้อนโดยตรง ที่ผ่านมาคนอื่นที่โด่งดังเช่นท่านติช นัท ฮันห์ <4> ผู้นำพระสงฆ์ในสมัยสงครามเวียดนาม ก็ยังพลาดรางวัลนี้มาแล้ว ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ผู้คนมักเชื่อไปในแนวทางเดียวกันโดยไม่มีโอกาสไตร่ตรอง ด้วยเหตุผล ผมจึงขอเสนอบทความนี้เพื่อต่อกรกับการครอบงำ และการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง

An Inconvenient Truth: เท็จหลายเรื่อง
ท่านที่อ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth (AIT) <5> “คงรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน . . . คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก หากจะเรียกขบวนการดังกล่าวว่าเป็นภารกิจกู้โลก เพราะวิกฤตการณ์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินจินตนาการ” <6> วลีที่อ้างถึงนี้สะท้อน “อารมณ์” ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม AIT เป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง และยังแสดงข้อมูลที่เป็นเท็จหลายเรื่อง <7> ซึ่งสังคมมักไม่มีโอกาสรับรู้ เช่น:
1. การมองด้านเดียว: AIT ไม่เคยมองถึงบทบาทที่จำเป็นของน้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน (Hydrocarbon) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจน ช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากร ฯลฯ AIT ละเลยอัตราการตายที่สูงขึ้นในยามที่โลกเย็นลงในอดีตที่ผ่านมา
2. ความเข้าใจผิด: สาเหตุหลักของการตายของมนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะภัยธรรมชาติ คล้ายกับการตื่นกลัวไข้หวัดนกจนเกินเหตุทั้งที่โรคปอดบวมทำคนไทยตายมากมาย โดยในปี 2550 ไม่พบคนป่วยและตายด้วยไข้หวัดนกในประเทศไทย แต่คนไทยป่วยด้วยโรคปอดบวมจนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 88,841 ราย และตาย 765 รายในปี 2549 <8> นอกจากนี้ AIT ยังอ้างทำนองว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกับตน แต่ความจริงเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงข้ามกับ AIT
3. การพูด “ใส่ไข่” จับเอาปรากฏการณ์ครั้งคราวมาเป็นสรณะ: การอ้างว่าหมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะน้ำแข็งละลายทั้งที่เป็นเพราะพายุ การกล่าวถึงฝนตกหนักถึง 37 นิ้วในนครมุมไบในปี 2548 ทั้งที่ตลอด 45 ปี ไม่พบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเลย การโยงเรื่องโลกร้อนกับอุทกภัยในจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่ใน 1-2 ศตวรรษก่อนมีอุทกภัยที่รุนแรงยิ่งกว่านี้มากมาย การโทษว่าโลกร้อนทำให้แนวปะการังเสียหายทั้งที่เป็นเพราะปัจจัยทางเฉพาะ ภูมิภาค ปัจจัยทางสังคมและอื่น ๆ การกล่าวว่าธารน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์จะเลื่อนลงสู่ทะเลทั้งที่ตั้งอยู่ในแอ่ง ที่ไม่มีทางออก
4. การพูดผิดความจริง เช่น การอ้างว่าโลกร้อนในอดีตเป็นเพียงระยะสั้น ทั้งที่มีระยะเวลานับร้อยปีในอดีตที่เคยร้อนกว่าปัจจุบัน จนทำให้ครั้งหนึ่งชาวไวกิ้งสามารถไปตั้งถิ่นฐานในเกาะกรีนแลนด์ที่หนาวเย็น ในขณะนี้ได้ การอ้างว่าโลกร้อนขึ้นมากทั้งที่เพิ่มเพียง 0.17 องศาเซลเซียสในรอบ 30 ปีล่าสุด และร้อนขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปี และที่ผ่านมาก็มีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ การอ้างว่าคลื่นร้อนยุโรปที่ทำให้คนตายมากมายเป็นผลจากโลกร้อนทั้งที่เป็น เพราะสาเหตุอื่น
ในประเทศอังกฤษ มีการฟ้องศาลให้ห้ามฉาย AIT ในโรงเรียนมัธยม ศาลเห็นว่า AIT มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดไปถึง 9 ประการ แต่ให้ฉายได้โดยต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ครูที่จัดฉายต้องชี้ให้นักเรียนเข้าใจถึงข้อผิดพลาดของ AIT ด้วย <9> แต่ในประเทศไทย เรากลับปล่อยให้ฉายหลอกลวงประชาชนอย่างหน้าตาเฉย ตัวอย่างความผิดพลาดสำคัญ ได้แก่ การกล่าวว่าหิมะบนยอดเขาคิลิมันจาโรซึ่งสูงถึง 6 กิโลเมตร ละลายเพราะภาวะโลกร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง สาเหตุการละลายคงเป็นเพราะแสงอาทิตย์ การใช้ที่ดินโดยรอบตลอดจนความร้อนใต้พิภพหรืออื่น ๆ เพราะหากแม้ผิวโลกจะร้อนขึ้น อุณหภูมิบนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 19,000 คนได้ร่วมกันลงชื่อใน The Petition Project <10> ว่า จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าการใช้ Hydrocarbon เพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกแต่อย่างใด แม้โลกได้ร้อนขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่ได้มีผลเสียหายร้ายแรง (อาจมีไวรัสบางชนิดเกิดขึ้น แต่ในช่วงโลกเย็นก็อาจเกิดโรคอื่น) แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในเขตอบอุ่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นผลดีต่อชีวิตสัตว์และทำให้การ เพาะปลูกพืชผลได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงหนุนให้สหรัฐอเมริกาไม่ลงนามในพิธีสารเกียวโต <11> ซึ่งได้กำหนดข้อผูกพันทางกฎหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภาคี
บทวิพากษ์ของ The Petition Project ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
1. การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว ที่ผ่านมามียุคน้ำท่วมโลก และยุคน้ำแข็งสลับกันมาหลายครั้งแล้ว
2. ธารน้ำแข็งเริ่มละลายมานานก่อนการใช้ Hydrocarbon เสียอีก และละลายเร็วในอัตราเดียวกันมาตลอด 150 ปีแล้ว
3. อากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง ภาวะเรือนกระจกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีสาเหตุอื่นอีกมาก เช่น แสงแดด เมฆ ความชื้น การเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำในมหาสมุทร ความร้อนใต้พิภพ ฯลฯ
4. พายุทอร์นาโดมีแนวโน้มลดลง ส่วนพายุเฮอริเคนจากมหาสมุทรแอตแลนติก ก็มีแนวโน้มคงที่ พายุขนาดใหญ่ เช่น Katrina <12> ในปี 2548 อาจเกิดได้เป็นครั้งคราว เราจึงไม่ควรถือเอาปรากฏการณ์ชั่วคราว มาทึกทักปะติดปะต่อกับภาวะโลกร้อน
5. ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 นิ้วในรอบศตวรรษแต่เพิ่มมาก่อนยุคที่ใช้ Hydrocarbon ด้วยซ้ำไป
6. ป่าไม้ (ไม่ใช่สวนป่า) ในสหรัฐอเมริกาได้รับการปลูกเพิ่มขึ้น 40% ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปลูกป่าก็อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขโลกร้อนอย่างมีนัยสำคัญนัก <13>

อย่าให้ใครลวงให้ตื่นตูม
มีอยู่ภาพหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพทะเลสาบ Aral Sea ในคาซัคสถาน <14> ซึ่งแต่เดิมมีขนาดใหญ่มาก แต่กลับแห้งไป มีเรือจอดอยู่บนพื้นคล้ายทะเลทราย ภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ห่วงใยโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นภาพแห่งการโกหกอย่างร้ายกาจ เพราะการเหือดหายไปของทะเลสาบนี้ เป็นผลมาจากการสูบน้ำและเป็นที่คาดหมายมานานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนแม้แต่น้อย

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0025.jpg[/img]
ถ้าวันนี้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ระดับเดียวกับ “กรากะตัว” ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2426 เราคงลืมเรื่องโรคร้อนในบัดดล และนึกว่าโลกต้องแตกแน่แล้ว เพราะ “แรงระเบิดนั้นคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่บนเกาะ พื้นที่ร้อยละ 65.52 ของเกาะกลายเป็นเถ้าธุลีลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร ในรัศมี 240 กิโลเมตร เถ้าธุลีบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิดคล้ายตอนกลางคืน . . . อยู่ห่างถึง 4,776 กิโลเมตรก็ได้ยิน (เสียงระเบิด) . . . เกิดคลื่นสึนามิ สูงกว่า 30 เมตร . . . แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตรวจจับได้แม้แต่ที่สหราชอาณาจักร (อากาศยังเย็นลง 1.2 องศาทั่วโลกเป็นเวลาถึง 5 ปี)” <15>
ท่านทราบหรือไม่ว่าแรงระเบิดของภูเขาไฟที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ภูเขาไฟ Tambora ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2358 ในครั้งนั้นประมาณกันว่ามีขนาดเท่ากับระเบิดปรมาณู 60,000 ลูกรวมกัน ทำให้ท้องฟ้ามืดมิด ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมถึงอังกฤษ <16> แต่โลกเราก็รอดมาแล้ว และกลายเป็นปรากฎการณ์ที่คนส่วนใหญ่ลืมไปหมดแล้วในเวลาอันสั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรปริวิตกกับปรากฏการณ์ชั่วคราวจนเกินเหตุุ

กรณีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในไทย
หลายคนเน้นใช้ความรู้สึกมาบอกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ รุนแรงขึ้น แต่ความจริงก็คือ พายุหมุนเขตร้อนที่เข้ามาในประเทศไทยมีปริมาณลดลงตลอดในช่วงปี 2494-2549 รวมทั้งอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วง พ.ศ.2539-2549 ก็ไม่แตกต่างกันเลย <17> ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยกลับลดลงนับแต่ปี 2483 ที่สำรวจ <18> ความรู้สึกที่ไม่อิงข้อมูล มักทำให้คิดตรงข้ามกับความจริง และมักจะรีบเชื่อเมื่อมีผู้ทำให้ตกใจ

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0026.jpg[/img]
[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image004_0002.jpg[/img]
[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0027.jpg[/img]

ส่วนที่เห็นน้ำท่วมโบสถ์วัดขุนสมุทร <19> นั้น คงเป็นเพราะการทรุดตัวของดินจากผลของการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด การทำลายป่าชายเลน การพังทลายของตลิ่งและอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด เป็นธรรมชาติรอบอ่าวไทย ที่บางส่วนของพื้นที่อาจถูกกัดเซาะ บางบริเวณก็กำลังเกิดที่งอก ในสมัยโบราณ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาแต่เดิมเป็นทะเลทั้งหมด ทุกวันนี้ใต้ท้องนาในจังหวัดอยุธยา ยังขุดทรายมาขายกันได้เป็นล่ำเป็นสัน วัดเจดีย์หอยที่อำเภอลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ก็ยังพบเปลือกหอยทะเลมากมาย แค่น้ำทะเลกัดเซาะวัดขุนสมุทรและบริเวณใกล้เคียงเพียงเท่านี้ ยังเทียบอะไรไม่ได้กับการเกิดภาคกลางของประเทศไทยแต่อย่างใด

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0028.jpg[/img]

ในประเทศไทยของเรา การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศยังเป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา และเอ็นโซ ตามกระแสน้ำอุ่น <20> แต่กลับมีการกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเป็นสำคัญ

สิ่งที่ต้องคิดทบทวน
โปรดอย่าไพล่เข้าใจผิดว่า เราไม่ควรใส่ใจกับเรื่องโลกร้อนและพาลเข้าใจว่า เราละเลยการรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน บทความนี้เพียงมุ่งตรวจสอบการโฆษณาชวนเชื่อที่ขาดจรรยาบรรณ ทำให้สังคมขาดความรอบรู้และเกิดการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราควรมีเวทีการถกเถียงเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญา มีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่สักแต่เชื่อกันด้วยศรัทธาอย่างมืดบอดอันถือเป็นอันตรายต่อการ พัฒนาคุณภาพชีวิตและปัญญา-ความรู้ของประชาชนในระยะยาว
การใช้อวิชชาหลอกล่อให้คนเชื่อ เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประหนึ่งเห็นชาวบ้านเป็นวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ต้องหลอกล่อด้วยความกลัวถึงผลร้ายของภาวะโลกร้อนจนเกินจริง และด้วยการใช้ความน่ารัก-น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม โปรดสังเกตว่า “หมัดเด็ด” ในการปิดปากผู้สงสัยเรื่องโลกร้อนก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดี ต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจนตามหลักธรรมกาลมสูตร <21> ก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
ผู้ที่กล้าพูดความจริงบางส่วนเพื่อเอาประโยชน์ใส่ตนนับเป็นผู้ที่ น่ากลัว สังคมพึงทราบว่าบ้านของนายอัล กอร์เองกลับใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนอเมริกันทั่วไปถึง 20 เท่า ใช้เงินค่าไฟฟ้าและแก๊สรวมกันปีละเกินกว่า 1 ล้านบาท <22> คนทำดีพูดดีเรื่องโลกร้อนอาจสั่งสมบารมีจนได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา บางคนได้อาชีพเป็นนักอนุรักษ์ นักประท้วง นักแบกป้ายเพื่อ “กู้โลก” หาเลี้ยงชีพไปได้ชั่วชีวิต เป็นต้น
การบิดเบือนความจริงเคยส่งผลเสียหายมากมายมาแล้ว เช่น การที่ NGO บางแห่งเคยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จอย่างร้ายแรงว่า ประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน ทำให้พจนานุกรมลองแมน เคยให้คำจำกัดความของกรุงเทพมหานครว่าเป็นนครแห่งโสเภณีในปี 2536 <23> จะสังเกตได้ว่านักเคลื่อนไหวทางสังคมมักพยายามโฆษณาว่าปัญหาที่ตนเกี่ยว ข้องอยู่มีขนาดใหญ่ ด้วยหวังให้สังคมให้ความสนใจ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนก็ใช้วิธีเดียวกันจนเฝือ สังคมเลย “มึน” และกลับคิดว่าปัญหาทั้งหลายนั้นสุดแก้ไข กลายเป็นปัญหาโลกแตกไป
ทางออกสุดเท่ห์ของการแก้โลกร้อนก็คือการปลูกป่า (ซึ่งถือเป็นรูปแบบการทำดีที่นำสมัยและมีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิการกุศล) โดยไม่นำพาว่าจะรณรงค์ปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจัง ปีหนึ่ง ๆ ป่าไม้ไทยถูกทำลายไปมหาศาลกว่าป่าที่ปลูกใหม่ ต้นไม้ที่ปลูกอย่างลูบหน้าปะจมูกนี้ก็คงตายไปมากกว่าจะอยู่รอดได้ บาปของแฟชั่นการปลูกป่านี้ก็คือการช่วยบิดเบือน ปกปิดไม่ให้อาชญากรรมทำลายป่าได้รับการตระหนักโดยสังคมส่วนรวม
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญ ของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น บางทีถ้าเราเอาเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากทางอื่น ยังอาจได้ประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านี้

[size=20pt]บางที “นักบุญ” ที่พูดกับท่านถึงภาวะโลกร้อนนั้น แท้จริงอาจเป็น “ซาตาน” ผู้ก่ออาชญากรรม ตักตวงประโยชน์ทางการเมือง ฉกฉวยหาประโยชน์เฉพาะตน คนที่กล้า “แหกตา” พวกเราถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นบุคคลอันตราย เราควรรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แต่เราก็ควรส่งเสริมการระดมความคิด ถกเถียงค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีสติ และต่อต้านความงมงายอย่างมืดบอดในทุกรูปแบบ ประเทศชาติจึงจะเจริญด้วยสังคมอุดมปัญญาที่แท้จริง[/size]

ที่มา http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market166.htm

เล่นเว็บฯ drama-addict ก้เลยเจอกระทู้ที่เกี่ยวข้องเข้าให้ :555

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=galama แถมให้อีก

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Sony Watchman-โทรทัศน์พกพาของ Sony ช่วงต้นยุค 80




ซื้อจากตลาดปัฐวิกรณ์ เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา จากร้าน D-Mart Phone ในราคา 1900 บาท นวัตกรรมจาก Sony ในช่วงต้นยุค 80 อีกชิ้นที่ออกหลัง walkman ไม่กี่ปี Sony Watchman โทรทัศน์แบบพกพาได้ รุ่นที่ผมได้มาเป็นรุ่นแรกๆ ซึ่งยังเป็นจอภาพแบบขาวดำ ใช้แบ็ตเตอรี่ขนาด AA จำนวน 4 ก้อน...หลังจากนั้นก็ค่อยมีรุ่นจอภาพแบบสีตามออกมา สายการผลิตสินค้าตระกูล Watchman ก็ได้ยุติการผลิตลงในปี 2000

รุ่นที่อยู่ในภาพเป็นรุ่น FD10E

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

3222 : helicopter and limousine







ซื้อมาตั้งแต่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมาแล้วหล่ะ แต่เพิ่งได้มาถ่ายรูปก็เมื่อสักครู่นี่เอง (ขี้เกียจน่ะ)

แต่ต่อจากนี้คงต้องประหยัดกันพอควร เพราะจะไปประเทศจีนเดือนหน้าแล้ว ต้องเก็บเงินไว้เป็นค่า shopping ซะหน่อย

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เซียนอ๊อตโตะ แห่งช่อง G-Square





พบเซียนอ๊อตโตะ หรือชื่อจริง อมร วิวัฒสุนทร ณ สำนักงานช่อง G-Square ที่ห้างสรรพสินค้าฟอร์จูน ชั้น 26 เมื่อวันจันทร์ที่ 8 พ.ย. 2553 ไปกับเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต ที่เป็นแฟนคลับของเซียนเช่นกัน

พิธีกรรายการเกมที่ผมชื่นชอบมาก ในที่สุดก็ได้เจอตัวจริงเสียที

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่าอึดอัด เกี่ยวกับรายการทีวีทางช่อง free tv ของเมืองไทย



พูดถึงรายการทีวีหรือวงการบันเทิงของเมืองไทยนั้น มีเรื่องน่าคับแค้นใจให้ว่าบานเลยครับ อย่างหนึ่งก็เรื่อง รายการนำเสนอข่าวประเภทจับคนมานั่งวิเคราะห์ข่าวหลายรายการก็ไร้ความเป็นกลาง หาสาระได้น้อยนิดเมื่อเทียบกับเวลาออกอากาศตลอดรายการ กับมีแต่ชวนให้คนดุเสียเงินส่ง SMS ไปทะเลาะกันอีก ยิ่งรายการประเภท จับผู้หญิงมานั่งฝอยอะไรไม่รู้ได้เป็นคุ้งเป็นแคว อย่าง ผู้หยิงถึงผู้หญิง ก็พุดจนน่าหนวกหูแต่ไม่มีสาระ จนหนังสือพิมพ์ฉับหนึ่งเคยเอาเขียนติติงไปแล้ว แถมพิรายการนี้ดัง มีผุดกันมาบานเลย ทั้งรอบวันธรรมดาและวันหยุด

ยิ่ง นางสาว กาละมัง เอ๊ย กาละแม เคยเจอหลักฐานประเภท เห็นกับตา ได้ยินกับหู ว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้จริงเรื่องรายะลเอียดบางประการของข่าวที่ตัวเองอ่าน นี่คือเรื่องราวในครั้งนั้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ True Visions ยังไม่เข้ามาในชีวิตผม

ในรายการ ผุ้หญิงถึงผู้หญิง ครั้งหนึ่ง นางสาวกาละแมเอาข่าวแปลกๆเรื่องหนึ่งมาอ่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ แม่ที่เปิดเว็บฯ Ebay ทิ้งไว้ แล้วลูกอายุไม่กี่ขวบมาเล่นมั่วซั่ว โดยไม่รู้ว่ากำลังประมูลรถ Nissan Figaro แล้วประมูลชนะโดยไม่รู้ตัว แม่ถึงตกใจแล้วเกือบลมใส่

แต่สิ่งที่เด็ดสุดไม่ใช่ตัวข่าว ที่เด็ดคือ กาละแม พอพิธีกรพูดมากของรายการ ไม่รู้จักรถรุ่นนี้ แล้วนึกว่าข่าวพิมพ์ผิด เป็น Nissan Cefiro หรือเปล่า

เหลือเชื่อครับ คนระดับพิธีกรรายการทีวีที่คนรู้จักแทบทั่วบ้านทั่วเมือง กลับไม่รู้จักศึกษาหาข้อมูลถึงรายละเอียดบางอย่างในข่าวที่อ่านออกอากาศ โอเคครับ มันเป้นรายการออกอากาศสดก็จริง แต่ตัวข่าวมันมีการเตรียมมาก่อนหน้านี้แน่ๆ ทำไมผู้หญิงคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าค่าตัวต่อเทปคงมากกว่าเงินเดือนพ่อผมทั้งเดือนแน่ๆ ทำไมไม่เสียเวลาสักนิดศึกษารายะลเอียดของข่าวก่อนนำมาอ่านให้ดีกว่านี้

แล้วเจ้ารถ Nissan Figaro นั่นน่ะ เข้าไปที่ google แล้วพิมพ์ชื่อรถรุ่นนี้ลงไปแล้วเลือกค้นหา ทั้งข้อมูลและรูปภาพของรถรุ่นนี้มีเพียบเลย และนี่คือ รายละเอียดเจ้ารถคันที่ว่าครับ (ภาพอยู่บนสุด)

ปีที่ผลิต : 1991 (จำกัดจำนวนไว้ที่ 20,000 คัน)
เครื่องยนต์ : 4 สูบเรียง 987 ซีซี SOHC (single overhead camshaft),+ Turbo (รหัสเครื่องยนต์ MA10-ET)
ระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อน : เกียร์อัตโนมัติ 3 speed ขับเคลื่อนล้อหน้า
ความยาวฐานล้อ : 2,300 mm (90.6 in)
ความยาวตัวรถ : 3,740 mm (147.2 in)
ความกว้าง : 1,630 mm (64.2 in)
ความสูง : 1,365 mm (53.7 in)
น้ำหนักรถ : 810 kg (1,786 lb)
ความจุของถังน้ำมัน : 40 ลิตร (11 US gallon)
Fuel capacity 40 L

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 18 ปีที่แล้ว จะมี retro car หน้าตาน่ารักแบบนี้ด้วย

โฆษณารณรงค์งดสูบบุหรี่ที่ดีที่สุดที่เคยดูมา

โฆษณาชุดนี้เป็นของต่างประเทศครับ เก่ามากแล้ว เป็นของ quit line

http://www.youtube.com/watch?v=0yf9ee6t67o

ผมว่าทาง สสส น่าจะศึกษาแนวทางจากโฆษณาชุดนี้นะครับ เขาทำออกมาได้ดูดีและชวนให้ใครก็ตามที่กำลังสูบบุหรี่อยุ่ โดยเฉพาะคุณพ่อที่มีครอบครัวแล้ว อยากหยุดสูบบุหรี่ทันที

หลังจากข้อความส่วนนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้อง comment ครับ

ไม่ใช่ทำแต่โฆษณาประเภท แช่งชักหักกระดูก ทำยังกับว่าใครที่สูบบุหรี่นี่ ดูเลวยังกับเขาเพิ่งไปขโมยรถยนต์หรืองัดเครื่องATMเพื่อขโมยเงินซะงั้น ไม่ว่าจะโฆษณาชุดใดก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องให้เลิกบุหรี่ที่ทำโดยฝีมือคนไทยในรอบ 2 ปีหลังมานี้ ทำได้ ห่วย มากๆครับ มีแต่ใช้ความรู้สึกในเชิงสาปแช่งมากกว่าความรู้สึกเชิงสงสารแบบโฆษณาที่ผมยกตัวอย่างมาผมไม่ใช่คนสูบบุหรี่ ไม่คิดที่จะสูบ และก็ต่อต้านการสูบบุหรี่ แต่ผมถือว่า ตราบใดที่คนคนั้น ไม่ได้เอาเงินเราไปซื้อบุหรี่ ไม่ได้สูบบุหรี่ในสถานที่ราชการ ไม่ได้สูบบุหรี่บนรถโดยสารหรือยานพาหนะที่เป้นส่วนรวม ไม่ได้สูบบุหรี่ในห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ ไม่ได้สูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันหรือสถานที่ใดก็ตามที่มีสารไวไฟ ไม่ได้สูบในสถานที่แบบindoorใดๆก็ตามที่มีการห้ามสูบบุหรี่ ไม่ได้มานั่งสูบข้างๆเราโดยที่เราเป็นฝ่ายนั่งอยูก่อนนานแล้ว ไม่ได้มาสูบในบ้านเราหรือที่ที่เราอยู่ และถ้าที่ที่คนคนนั้นสูบบุหรี่ เป็นที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ เป็นบ้านส่วนตัวหรือรถยนต์ส่วนตัวของเขา ผมถือว่าเป็นสิทธิของเขาครับ โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปว่าหรือสาปแช่งเขา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆก็ตาม

-------------------------------------------------------------------------------
โฆษณาประหยัดน้ำมันก็เหมือนกันครับ ที่ทำโดยฝีมือคนไทย ก้มีแต่ออกแนว ไม่สร้างสรรค์ ดีแต่เอาความสะใจกับเอากฎหมู่ เหนือความถูกต้องจำโฆษณาประหยัดน้ำมันที่ออกมาช่วงปี พ.ศ. 2548 ได้มั๊ยครับ ที่มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เป็น presenter โดยจะขอยกตัวอย่างโฆษณา 2 ชุด ที่ไม่เข้าท่าอย่างมากชุดแรก เปิดตัวเป็นคนขับรถรับจ้างคนหนึ่งเติมน้ำมัยเสร็จ แล้วเปิดกระเป๋าตังค์ดู สงสัยว่าเงินหายไปไหน อยู่ๆก็มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เข้ามาแล้วพูดว่า อยากรุ้มั๊ยครับว่าเงินหายไปไหน แล้วชี้ไปยังสี่แยกข้างหลังที่อยุ่ใกล้ๆกันเป้นภาพของรถกระบะยกสูงแบบรถ big foot คันหนึ่ง จอดติดไฟแดง แต่งท่อไอเสียรอบคับเหมือนโรงสีข้าว แถมคนขับยังเหยียบคันเร่งเพื่อเบิ้ลเครื่องอยู่กับที่แบบไม่เสียดายน้ำมัน (มีฉากจับหน้าคนขับที่เบิ้ลเครื่องอย่างสะใจ) เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน ก้มาสาถยายาเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในขณะคนขับรถรับจ้างเดินไปที่รถกระบะคันนั้น ปีนขึ้นไปเปิดประตู แล้วกระทืบคนชับรถกระบะดดยเอามือรั้งตัวไว้กับขอบประตูรถผมรู้ครับ การที่คนขับรถกระบะคนนั้น เร่งเครื่องอยุ่กับที่แบบไร้เหตุผล หรือการที่เขาแต่งรถแบบเกินความจำเป็น มันเป้นพฤติกรรมการใช้น้ำมันที่สิ้นเปลืองและล้างผลาญ แต่ไอ้การที่ไปกระทืบคนเนี่ย เป้นพฤติกรรมที่น่าเอาเป็นแบบอย่างหรือเป็นพฤติกรรมที่ดี อย่างนั้นหรือครับ
---------------------------------------------------------------------------
มาชุดที่สอง เป้นชุดที่มีหญิงแก่ไฮโซมาดคุณนายคนหนึ่ง จอดรถเบ็นซ์แล้วพูดว่าอยากประหยัดน้ำมันให้ได้มากกว่านี้ แล้วก็มี เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน เข้ามาพูดว่า ช่วยเปิดกระโปรงท้ายรถด้วยครับ พอเปิดมาก็มีของเต็มเลยครับ ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของอื่นๆอีกเพียบ อยุ่ๆ เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน ก็เป่านกหวีดยาว แล้วพวกชาวบ้านแถวนั้น ก้เข้ามากรูกันเอาของไปจนหมดท้ายรถ แล้วก็พูดถึงเรื่องบรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมันโอเคครับ บรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมัน (น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 40 ซีซี ต่อ กิโลเมตร) แต่ไอ้พฤติกรรมที่ผมเห็นนั้น บ้านผมเขาเรียกว่า การราวทรัพย์แบบซึ่งๆหน้าครับ ผมเคยพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่ผมเรียนวิชา criminology ฟังเมื่อตอนเรียนอยุ่ปี3 ท่านก็ยังคิดเหมือนผมเลยครับ ถ้าไม่นับพวก พ่อค้ารถกระบะ เซลล์แมน ที่จำเป็นต้องบรรทุกของเต็มรถตลอดเวลานั้น หลายคนเขามีรูปแบบการดำรงชีวิตหรือรุปแบบของการทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริต ที่ต้องบรรทุกข้าวของเต็มรถ ทั้งเสื้อผ้า และสารพัดสรรพสิ่ง บางคนต้องไปงานนู่นนี่บ่อยๆ เลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ หรือต้องพกพาข้าวของบางอย่างติดรถด้วยเสมอเพราะใช้บ่อยเมื่ออยู่นอกบ้าน ซึ่งการที่เขาเหล่านี้ถ้าจะเลือกวิธีเอาของทิ้งไว้ที่บ้าน นอกจากจะเสียเวลาแล้ว การขับรถกลับไปเอาอีกรอบ อาจจะเปลืองน้ำมันยิ่งกว่าด้วยครับ

-----------------------------------------------------------------------
คราวนี้มาโฆษณาตัวที่3 เป็นโฆษณาประหยัดน้ำมันเช่นกัน แต่คนละชุดกับ2ตัวแรก ครั้งนี้เรื่องไม่เข้าท่ามีนิดเดียว แต่มีการแฝงข้อความที่ชวนเข้าใจผิดได้เป็นเรื่องของอาเสี่ยที่ใช้น้ำมันอย่างฟุ่มเฟือยคนหนึ่ง ที่สั่งให้คนขับรถเร่งเครื่องให้สุดๆ คนชับเตือนก็ไม่ฟัง แล้วก็ไม่แคร์ว่าจะเปลืองแค่ไหน รถที่เขาใช้คือ Mercedes-Benz รหัสตัวถัง W-124 (ที่เราเรียกกันว่า รุ่นโลงจำปา) พอมาถึงปั๊ใน้ำมัน ถูกคนขับรถเบิร์ดกะโหลกแล้วพูดเรื่องการใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่า แถมยังเจอเด็กปั๊มสมทบอีกตัดมาฉากสุดท้าย เขาก็เปลี่ยนมาใช้รถ Austin Mini (ผมหมายถึง Mini รุ่นเก่านะครับ ไม่ใช่ Mini สมัยใหม่แบบที่เราเห็นกัน) แล้วอาเสี่ยนั่นก็พูดว่า ใช้รถเล็กๆก็ได้แค่นี้

ก็อีกนั่นแหล่ะครับ การใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ที่การตบหัวคนนี่ เป้นพฤติกรรมของสุภาพชนหรือเปล่าครับแล้วขอพูดถึงเรื่องรถยนต์ทั้ง 2 คันที่ถูกยกมากล่าวในนี้ด้วย แล้วบอกว่า ใช้รถเล็กแบบนั้นประหยัดกว่า ถ้ารถเล็กที่นำมาเข้าฉากนั้น เป็นรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ (หรือสมัยเดียวกับ Benz โลงจำปาคันนั้น) ก็จะไม่น่าตะขิดตะขวงใจหรอกครับ แต่มีอะไรที่อยากบอกสักหน่อยนะครับ ตามประสาคนที่รู้เรื่องรถนต์มาพอควร (แม้จะไม่เคยขับเจ้ารถ 2 คันนั้นก็ตาม และก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์Mercedes-Benz รายใดด้วย)ยอมรับครับว่า Austin Mini คือรถยนต์ที่ถุกสร้างมาเพื่อการประหยัดน้ำมันในช่วงยุค 60 และมันก็ทำได้จริงตามคำโฆษณาและเป้นรถดีในยุคนั้น แต่ นั่นมันสมัยนั้นครับ

สมัยนี้ ใครที่จะเล่น Austin Mini นอกจากจะต้องมีเงินค่าซื้อรถแล้ว ยังต้องใจรักจริงๆ รู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกการซ่อมรถยนต์บ้างสักเล็กน้อย (ไม่ใช่แบบที่ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขับกับเติมน้ำมัน) และรถคันนี้ก็เหมือนกับ Volkswagen Beetle รุ่นแรก ถ้าจะซื้อควรซื้อในสภาพที่ผ่านการบูรณะมาแล้ว ถ้าซื้อแบบโทรมๆมาบูรณะเอง งบประมารบานปลายแน่ครับและเจ้ารถคันนี้

อะไหล่บางชิ้นนั้น ไม่ว่าจะเครื่องยนตืหรือตัวถัง ค่อนข้างหายากครับ เผลอๆแพงด้วย จะซ่อมบำรุงทีก้ต้องหาอู่สถานเดียว (ไม่ได้มีศูนย์แบบรถใหม่ แหงหล่ะมันเป้นรถเก่าตั้ง 40 ปีแล้วนี่) อู่นี่ก้ต้องดูดีๆอีกว่ามันจะไม่โขกค่าซ่อมเรา (โดยเอาข้ออ้างว่า นี่รถเก่าคลาสสิคนะ อะไหล่บางชิ้นมันหายาก) ในขณะที่เจ้า Mercedes-Benz W-124 นั้น ที่แม้จะเก่า แต่ซ่อมได้ทั้งในศูนย์บริการของmercedes-Benz อะไหล่ในเซียงกงก็มีเยอะมาก (จนเอามาประกอบได้อีกหลายคัน)

แม้เจ้า W-124 คันนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น economy car หรือเป็นเจ้าหนูประหยัดน้ำมัน แต่มันก็ผลิตโดยใช้วัสดุที่สามารถนำไป recycle เพื่อผลิตเป็นอย่างอื่นใหม่ได้อีกแทบจะทั้งตัวรถทั้งภายนอกภายใน ถ้ารถ Benz คันนี้หมดสภาพความเป็นรถไปแล้ว (ไม่ว่าจะจากอายุการใช้งานหรืออุบัติเหตุ) และมันยังมี คาตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ ไว้กรองไอเสียอีกด้วย ซึ่งปล่อยมลพิษออกมาคงน้อยกว่าเจ้าหนู Autin Mini ที่ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ (เพราะเกิดในคนละยุคสมัย)
และเหลือเชื่อครับ mercedes-Benz W-124 ที่ใหญ่เทอะทะ แต่ค่าพลศาสตร์อากาศ หรือ ค่า Cd แค่ 0.31 เท่านั้น ในขณะที่ Austin ๋Metro รถเล็กที่ผลิตในยุคเดียวกับเจ้า W-124 มีค่า Cd สูงถึง 0.41 ดูเหมือนการมีขนาดใหญ่กว่า ไม่ได้แปลว่าลู่ลมน้อยกว่า mercedes-Benz นี่เขาเก่งดีนะ (หลักฐาน อยุ่ในลิงค์ข้างล่างนี่ครับ)

http://www.bentleypublishers.com/isbn/9780837602301/9780837602301/gallery-618-9.htmlhttp://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้http://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้

http://74.125.153.132/search?q=cache:WkUejWpTBRYJ:www.uniquecarsandparts.com.au/car_info_austin_mini_metro.htm+austin+mini+aerodynamic&

Mercedes-Bezn W-124 เติม น้ำมันแกสโซฮอล์ล95 ได้สบาย ในขณะที่ Austin Mini นั้น อย่างน้อยๆต้อง เบนซิน91ซึ่งราคาสูงกว่า และปั๊มShell เริ่มจะไม่เอามาขายแล้ว (Shell แถวโคราชมีแต่แกสโซฮอล์ลกับดีเซลเท่านั้นครับ ไม่มีเบนซิน91อีกแล้ว)ยิ่ง W-124 รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้น ใช้น้ำมันดีเซลประเภท biodiesel ได้สบายมาก (แม้จะเป็นแบบที่ความเข้มข้นมากกว่า B-5 ก็ตาม)ดัดแปลงเอามา ติดแก๊ส ก็ง่ายด้วยนะครับ

--------------------------------------------------------------------------
พักจากเรื่องประหยัดน้ำมันไปแล้ว คราวนี้ก้มี โฆษณารณรงค์ที่ทำออกมาแบบไม่เข้าท่าอีกชุด ที่แม้แต่นิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ (เป้นนิจยสารของไทย) เล่มหนึ่ง ยังวิจารณืว่าไม่เข้าท่าเลยครับ

เป็นโฆษณารณรงค์ให้คนรักการอ่าน โดยมี2ชุด ชุดแรก มีสถานที่เป้นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ๆก็มาอ่าน วิธีการใช้โทรศัพท์สาธารณะด้วยเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง แล้วยังอ่านประกาสรับสมัครงานที่แปะอยู่บนเสาใกล้ๆกันด้วยเสียงดัง ทามกลางสายตาผุ้คนที่หันมามองอย่างไม่ขาดสาย

ชุดที่ 2 สถานที่เดิม แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เอาหนังสือพิมพ์มานอนอ่านด้วยเสียงดังแบบเดียวกัน ผู้คนก็หันมามองเช่นเดิมทั้งสองชุด

มีคำพุดจากเสียงบรรยายมาว่า เห็นมั๊ยครับ ว่าการอ่านทำให้คุณเป็นคน่าสนใจแค่ไหน

จำนิตยสารที่ผมกล่าวในตอนแรกได้มั๊ยครับ คนเขียนพูดออกมาโดยจับใจความคร่าวๆได้ว่า "ไม่รู้คนคิดโฆษณานี้ ถุก ผี..่าซาตาน ตนใดมันสิงสู่ ถ้าให้ทำแบบนี้ แทนที่จะทำให้เราเป้นคนน่าสนใจมากขึ้นจากการอ่าน กลับทำให้เราเป็นตัวประลาดมากกว่าน่าสนใจ พาลทำให้ พวกรักการอ่านดูกลายเป้นตัวประหลาดไป"

ผมเองก็เห้นด้วยกับความคิดของคนเขียนบทวิจารณ์นี้ครับ ว่าเรื่องดีๆที่ควรจะรณรงค์ พอมาถ่ายทอดแบบผิดวิธีก็กลายเป้นดูไม่ดี ราวกับคนทำโฆษณาคิดแค่เอาให้คนจำง่ายอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงแง่มุมอื่นบ้าง

นักทำโฆษณาเมืองไทยเรื่องที่เกี่ยวกับการรณรงค์นั้น คงต้องทำการบ้านและมีการยกเครื่องทางความคิดกันสักหน่อยแล้วหล่ะครับ ไม่ใช่ทำแค่ว่า ให้มันสะใจกับให้มันติดตาคน เท่านั้น บางอย่างมันควรทำโดยคิดถึงกาละเทศะและอีกด้านของโฆษณาที่คิดจะทำสักหน่อย

ผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่ก็พอรู้บ้างตอนเรียนวิชาการตลาดตอนปี3 แต่อย่างที่ว่า มีเส้นกั้นบางๆที่ค่อนข้างะลเอียดอ่อน ในการทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะโฆษณา ละคร ภาพยนตร์ เพลง แม้แต่การนำเสนอข่าว และผมรู้ว่า ไม่มีนักสรรสร้างผลงานคนไหน จะทำให้ทุกคนชอบผลงานของตนได้ทุกคน

เหรียญมีสองด้าน แต่ละคนมีต่างมุมมอง และนี่คือ ด้านที่ผมพึงพอใจที่จะมองและนำเสนอ และมุมมองของผมที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน (เช่นเดียวกับที่ผมรักเดียวใจเดียวกับ Lego City โดยไม่คิดที่จะแตกไลน์)

กลับมาพูดถึงโฆษณาประเภทรณรงค์ของต่างประเทศต่อ มีอีกชุดหนึ่งที่ดูดี เป็นโฆษณารณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย ดดยตัวโฆษณา ให้เห็นภาพของรถยนต์คันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนค่อนข้างหนัก วิญญาณของคนในรถค่อยๆหลุดจากร่าง แต่มีอยู่ร่างหนึ่งที่วิญญาณไม่ยอมหลุด เพราะคนที่เป็นเจ้าของร่างนั้น ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แล้วเขาก็ฟื้นอีกครั้ง และเป็นคนเดียในรถคันนั้นที่รอดตาย ลิงค์ข้างล่างนี่เลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=nI9_BTm41MI

ข้อความที่เป็นการดูถูกคนอ้วนและจำกัดสิทธิ์คนอ้วนขั้นรุนแรงจากBlogแห่งหนึ่ง


ได้มาจาก http://mklasing.wordpress.com/2008/08/14/obamas-energy-plan-revealed/

นี่ คือเนื้อความส่วนหนึ่งในนั้น ที่พูดถึงเรื่อง กฎหมายการประหยัดน้ำมันที่เจ้าของบล็อคอยากให้ obama นำมาใช้...แต่อ่านแล้วรู้สึก จี๊ดขึ้นสมองเลยครับ ถึงผมอาจจะแค่รูปร่างอวบ มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมา 10 กก. ไม่ถึงกับอ้วนแบบหลายๆคนในที่นี้ก็ตาม

Here is one for you Obama–kind of on the fat tire theme. You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all. First that would knock out maybe 60% of all drivers and then the use of gas would decrease dramatically. Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลเป้นไทยได้คร่าวๆดังนี้ เริ่มจากประโยค You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all.

คุณควรอนุมัติกฎหมายไม่อนุญาติให้คนน้ำหนักเกินขับรถยนต์-ทั้งหมด

ประโยค ต่อจากนั้น น่าจะเกี่ยวกับเรื่อง การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น (ไม่กล้าแปลเป็นภาเขียนเพราะเดี๋ยวจะผิดความหมาย) แต่ประดยคต่อมานี่สิครับ เน้นขยายความจะๆเลยว่าเป้นการกีดกันคนที่รูปร่าง

Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลว่า ให้คนที่ใช้น้ำมันน้อยเท่านั้นที่อยู่บนท้องถนน-เพราะพวกเขาผอม-อย่างเช่นคุณ

แปล ว่าเกิดมาเป็นคนอ้วนนี่มันผิดเหรอ เกิดมาเป็นคนอ้วนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะขับรถยนต์หรืออย่างไร จะโยนให้คนอ้วนเป็นตัวการหลักในการผลาญเชื้อเพลิงของประเทศไปเลยเหรอ แล้วพวกคนผอมๆที่มันชอบขับขี่รถแบบปาดซ้ายป่ายขวา เร่งเครื่องโดยไม่มีเหตุผล จอดรถแล้วติดเครื่องรอเกิน 5 นาทีกับสารพัดการใช้น้ำมันอย่างล้างผลาญนี่หล่ะ แบบนี่สมควรให้อยู่บนท้องถนนเหรอครับ แย่พอๆกับคนเขียนบทความ

ถ้ามี การออกกฎหมายลักษณะนี้จริงๆขึ้นมา ไม่ว่าจะในอเมริกาหรือประเทศไหนก็ตาม มันคือเผด็จการชัดๆ และถ้ามันมีจริงๆ หวังว่าคนอ้วนทุกคนในประเทศนั้นจะออกมาประท้วงให้ถึงที่สุด หรือถึงขั้นก่อจลาจลกันไปข้างหนึ่งเลย ชนิดที่ว่า จลาจลrodney king ใน LA ปี 1992 ชิดซ้ายไปเลย

งั้นถ้าปัญหาคลิปโป๊บนมือถือมันระบาดหนักนัก ก็แก้ปัญหาด้วยการ ห้ามขายห้ามผลิตมือถือ3G กันเลยดีมั๊ยครับ

อ้วนครองโลก

เป็นบทความที่มาจาก http://www.sarakadee.com/feature/2002/08/fat.htm ขอยกความดีความชอบให้กับผุ้เขียนบทความนี้ที่เป็นต้นแบบ ที่นำมาลงเพราะเรื่องราวน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมชอบด้วย

-ทุกวันนี้ ขณะที่คนราว ๘๐๐ ล้านคนทั่วโลก กำลังถูกคุกคามด้วยโรคขาดอาหาร หรือพูดง่าย ๆ ว่ากำลังจะอดตาย คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับถูกโรค "ขาดอาหารไม่ได้" เล่นงานจนอ้วนปี๋ (ขนาดที่ก้มมองนิ้วเท้าตัวเองไม่เห็น) จำนวนสูงถึง ๓๐๐ ล้านคน
-จะว่าไปแล้ว คนอ้วนก็เป็นโรคขาดอาหารชนิดหนึ่ง คือเป็นคนที่ขาดอาหารไม่ได้ ต้องกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่ตลอดเวลา
-ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอ้วนในโลกกำลังเป็นห่วงว่าคนอ้วนกำลังระบาดหนักไปทั่วโลก
-จากการประชุมประจำปีของสมาคมนักวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ดร.สเตนเร่ย์ อุลลิจาเซ็ก แห่งมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ได้แสดงความเป็นห่วงว่า คนอ้วนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว กำลังไปปรากฏตัวอยู่ตามดินแดนที่ห่างไกล
-อุลลิจาเซ็กบอกว่า คนอ้วนเริ่มปรากฎในปากแม่น้ำปูราริ ประเทศปาปัวนิวกินี ดินแดนไกลลิบที่ไม่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่มาก่อนปีค.ศ. ๑๙๘๐ และจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ๑ % ของผู้ชายและ ๕ % ของผู้หญิงในดินแดนแห่งนั้นเป็นคนอ้วน
-ในหมู่เกาะแปซิฟิก คนอ้วนได้ถือกำเนิดในดินแดนแห่งนี้มาอย่างน้อย ๕๐ ปีแล้ว แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาอัตราคนอ้วนได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจนน่าประหลาดใจ
-ในเมืองราโรตองก้า เมืองหลวงของหมู่เกาะคุ้ก มีการสำรวจเมื่อสามสิบปีก่อนพบว่า ๑๔ % ของผู้ชายและ ๔๔ % ผู้หญิงเป็นคนอ้วน แต่ปัจจุบันคนอ้วนเพิ่มพรวดขึ้นมาว่า ครึ่งหนึ่งของคนในเมืองหลวงแห่งนี้ทั้งชายและหญิงเป็นคนที่มองไม่เห็นนิ้วเท้าตัวเองแล้ว
-ขณะที่ลึกเข้าไปในทะเลทรายใจกลางทวีปออสเตรเลีย ดินแดนแห้งแล้งที่ไม่ค่อยมีอะไรจะกิน แต่นักวิจัยพบว่า ๔ % ของเด็ก ๆชาวแอบบอริจิน ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย และ ๑๕ % ของผู้ใหญ่มีน้ำหนักมากผิดปกติ
-ในขณะเดียวกัน ประชากรจากประเทศยากจน ที่อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศที่เจริญอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบหมด
-มีการพบว่าเด็กอินเดียนชาวมายาเกินครึ่ง ที่อพยพจากประเทศกัวเตมาลา ไปอยู่มหานครลอสแองเจลิส มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนอ้วนกันถ้วนหน้า แซงหน้าคนผิวขาวและผิวดำเจ้าของประเทศ โดยมีสาเหตุสำคัญคือ อาหารไขมันสูง และน้ำสะอาดที่ทำให้เด็กปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ มากมาย
-ส่วนสาเหตุที่คนอ้วนระบาดไปทุกหนแห่งของโลก มาจากสาเหตุสำคัญสองประการคือ คนเหล่านั้นกินอาหารที่มีแคลอรีสูง และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
-หลายคนเป็นโรคหัวใจหัก หัวใจเดาะ ทำใจไม่ได้ จึงต้องหันมาพึ่งอาหารเป็นเพื่อนยามยาก กินไปเรื่อย ๆ จนหยุดการขยายตัวของกระเพาะไม่ได้
-การที่โลกนี้มีคนอ้วนมากขึ้น หากมองในแง่ดีก็น่าจะเป็นแนวโน้มที่ชี้ให้เห็นว่า เพื่อนมนุษย์ของเราบนโลกนี้เป็นโรคขาดอาหารกันน้อยลง ผู้คนมีรูปร่างจ้ำม่ำกันมากขึ้น
-เช่นที่เมืองไทย มีรายงานจากมูลนิธิสุขภาพแห่งชาติว่า ๔๓ % ของผู้หญิงไทยและ ๒๓ % ของผู้ชายไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ส่วนในชนบทอันห่างไกล ยังไม่มีรายงานระหว่างคนอ้วนกับคนหิวโซ ใครจะเพิ่มมากขึ้นกว่ากัน

วันแห่งคนอ้วนของญี่ปุ่น



-วันแห่งคนอ้วน (Debu No Hi) ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ระลึกสำหรับคนอ้วน

และยังมีวันสำคัญประหลาดอีกมากมายนับไม่ถ้วน โดยเลือกเอามาให้ดูเพียงบางวันเท่านั้น

-วันแห่งแฮมเบอร์เกอร์ (Hamberger No Hi) ตรงกับวันที่ 20 กรกฏาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 46 เป็นวันแรกที่มีร้าน แมคโดนัล เปิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่ชั้นหนึ่งของห้างมิทสึโกชิในย่านกินซ่า

-วันแห่งเนื้อย่าง (Yakiniku No Hi) ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานเนื้อย่าง ตั้งโดยสมาคมเนื้อย่างแห่งประเทศญี่ปุ่น

- วันแห่งสุนัข (Inu No Hi) ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมให้คนรักและระลึกถึงสุนัข

-วันป๊อกกี้และปริทซ์ (Pocky&PRETZ No Hi) ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ***ลิโกะ บริษัทผลิต ป๊อกกี้และปริทซ์ ตั้งวันป๊อกกี้และปริทซ์ ขึ้นมาเมื่อ ปีเฮเซที่ 11 เดือน 11 วันที่ 11 หากนำวันและเดือนและปี มาเขียนเรียงติดกัน ก็จะได้เป็น 111111 ซึ่งเหมือนกับแท่งป๊อกกี้และปริทซ์ 6 แท่ง ในโฆษณาของป๊อกกี้เอง ก็มีการโชว์แท่งป๊อกกี้ 4 แท่งในมือของพรีเซนเตอร์ด้วย (เพราะว่าปีเฮเซที่ 11 เลยมาแล้ว) จุดประสงค์ที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการส่งเสริมการขายป๊อกกี้ มีการจัดแคมเปญต่างๆเกี่ยวกับป๊อกกี้และปริทซ์ในวันที่11/11 ของทุกๆปีด้วย

-วันแห่งโรงแรม (Hotel No Hi) ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 23 เป็นวันแรกที่ Teikoku Hotel โรงแรมแห่งแรกในญี่ปุ่นเปิดให้ใช้บริการ

-วันแห่งไก่ทอด (Fried Chicken No Hi) ตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 21 พฤศจิกายน ปีโชวะที่ 45 เป็นวันแรกที่มีร้านไก่ทอด เคนตักกี้ เปิดในญี่ปุ่น ที่นาโกย่า

-วันแห่งโซบะ (Soba No Hi) ตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีประเพณีการทานโซบะข้ามปี (Toshikoshi Soba) จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นเป็นวันรณรงค์การทานโซบะ

-วันแห่งนม (Milk No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มนม

- วันแห่งอุด้ง (Udon No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนรับประทานอุด้ง

-วันแห่งรูปถ่าย (Shashin No Hi) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมรูปถ่ายแห่งประเทศญี่ปุ่นตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการถ่ายรูป

-วันแห่งขยะ (Gomi No Hi) ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทิ้งขยะโดยแยกชนิดของขยะอย่างถูกต้อง

-วันแห่งกระเทย (Okama No Hi) ตรงกับวันที่ 4 เมษายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่อยู่ระหว่างกลางของวันเทศกาลลูกท้อ (Momo No Sekku) เป็นวันสำหรับเด็กผู้หญิง ซึ่งคือวันที่ 3 มีนาคม (3/3) และวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (Tango No Sekku) ซึ่งคือวันที่ 5 พฤษภาคม (5/5) จึงตั้งวันที่อยู่กึ่งกลางนั่นคือวันที่ 4 เมษายน (4/4) เป็นวันสำหรับคนครึ่งหญิงครึ่งชาย นั่นคือกระเทย (คำว่า Okama แปลว่า กระเทย)

-วันแห่งแมว (Neko No Hi) ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากแมวที่ญี่ปุ่นร้องขึ้นต้นด้วยคันจิที่เหมือนกับเลข 2 ด้วยกัน 3 อัน วางเรียงกันได้เป็น 222 ซึ่งแปลงเป็นวันที่ได้วันที่ 2/22

- วันแห่งบันไดเลื่อน (Escalator No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีการใช้บันไดเลื่อนขึ้นที่ห้างมิตสึโกชิ สาขา นิฮงบาชิ ในวันที่ 9 มีนาคม ปีไทโช ที่ 3

-วันแห่งแกงกระหรี่ (Curry No Hi) ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทำและรับประทานแกงกะหรี่

-วันแห่งการปวดหัว (Zutsuu No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ไม่ให้คนทำอะไรมากเกินไปจนปวดหัว

-วันแห่งชาเขียว (Maccha No Hi) ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ

-วันแห่งนามสกุล (Myouji No Hi) ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นที่ระลึกสำหรับการเริ่มใช้นามสกุลเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปีเมจิที่ 8

-วันแห่งภาพยนตร์ (Eiga No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนไปดูภาพยนตร์

- วันแห่งการจราจรปลอดภัย (Koutsuu Anzen No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนขับรถอย่างปลอดภัย ไม่ขับรถด้วยความเร็ว

- วันแห่งข้าว (Okome No Hi) ตรงกับวันที่ 8 และ 28 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ระลึกถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น

และวันสำคัญธรรมดาทั่วไป
-วันแม่ (Haha No Hi) ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม ของทุกปี

-วันพ่อ (Chichi No Hi) ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี

ข้อมูลจาก http://www.yamashita-tomohisa.com/ เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้เพราะมีอีกเยอะครับ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

สวนกระแสหมูแฮม (หงิกศักดิ์ ณ พันทิพย์)...เรื่องเก่าเล่าใหม่ เพราะนี่คืออีกด้านที่ควรได้รับการถ่ายทอด

ไปขุดมาจากอีก blog ที่เปิดเอาไว้แล้วไม่ได้ไปจัดการมันตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เลยเอามาลงใหม่ที่นี่ เพราะอยากให้ทุกคนควรอ่าน

-----------------------------------------------------------

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=899272&pageno=1

สวนกระแสหมูแฮม (หงิกศักดิ์ ณ พันทิพย์)

เนื่องจากพลาดการดูข่าว "ขับรถเบนซ์ทับคนตายของหงิกศักดิ์" ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในหลายเว็บบอร์ด
ผมจึงไปโหลดคลิปรายการเรื่องเล่าเช้านี้ (ความยาวร่วมครึ่งชั่วโมง) จากเว็บบิททอร์เรนท์ที่เป็นสมาชิกอยู่
กะจะเก็บรายละเอียดของการให้สัมภาษณ์ เอาไว้เป็นข้อมูลในการเขียนถล่มหงิกศักดิ์ตามกระแสสักหน่อย
แต่เมื่อได้ดูรายละเอียดบางอย่างแล้ว ผมขอเปลี่ยนใจ ขออยู่ข้างเดียวกับพ่อของน้องหมูแฮมแทนก็แล้วกัน

.....ประเด็นหลัก
คุณพ่อของหมูแฮมพูดย้ำในรายการแล้วว่า ลูกของตัวเองกระทำผิดจริง ทั้งการทุบ พขร. และขับรถชนตาย
.....ประเด็นร้อน
คำพูดที่กลายเป็นประเด็นร้อนนั้น เกิดขึ้นหลังจากคุณพ่อของหมูแฮมเห็นภาพการสัมภาษณ์กระเป๋ารถเมล์

.....ถาม
คำพูดในทำนองที่ว่า หมูแฮมแกล้งทำเป็นชัก ไม่สบาย โดยการส่งซิกของตำรวจ มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน ?
.....ตอบ
มาจากการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของพนักงานเก็บค่าโดยสารรถเมล์เพียงคนเดียว (และทุกคนเชื่อกันหมด)

.....อาการชักแบบหมูแฮม มีอยู่จริงหรือไม่
จริง คนในครอบครัวผม 1 คนมีอาการแบบหมูแฮม ตอนเด็กเกิดอาการชักอย่างแรง จนเกร็งเป็นเวลานาน
นำส่งโรงพยาบาล (ล่าช้าด้วยเหตุผลบางอย่าง) ผลตรวจพบว่า สมองบางส่วนเสียหายจากการขาดออกซิเจน
แม้จะรอดชีวิต แต่ความเสียหายดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและพฤติกรรมบางส่วนอย่างถาวร
คนที่รอด ร่างกายมีความไวต่อสภาพการกดดันจากสิ่งแวดล้อมสูง ถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะเกิดอาการชักเกร็ง
คนที่ไม่รอด ก็นอนเป็นผัก เป็นภาระครอบครัว เพราะอาการนี้ไม่แบ่งแยกว่าจะเกิดขึ้นในคนรวยหรือคนจน

.....แล้วคนแบบนี้ใช้ชีวิตในสังคมได้หรือไม่
ในแง่ของการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ผู้ที่รอดมาได้ สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนคนปรกติทั่วไป
กรณีคนในครอบครัวผม ขับรถเองได้ (รถญี่ปุ่นมือ 2 ครับ ไม่ใช่รถเบนซ์) จำทางได้ แต่จำชื่อสถานที่ไม่ได้
ใช้ไปทำธุรกรรมที่ธนาคารได้ มีความสนใจในบางเรื่องสูงพอที่จะแข่งแฟนพันธุ์แท้ได้ แต่การเรียนไม่ดีนัก
อาการชักเกร็งจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับแรงกดดันจากสิ่งเร้ารอบตัว ในสถานการณ์ที่ทำให้ระดับความเครียดสูง
ประเทศไทย มีผู้ป่วยอาการแบบนี้นับแสนคน แต่เป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากจะพูดสักเท่าไร

เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น สังคมไทย ก็มักพิพากษากลุ่มผู้มีอาการผิดปรกติไปในทางลบอยู่แล้ว เสียเวลาแก้ตัว
ไม่ว่าจะชักจริงหรือไม่จริง จะฮั้วหรือไม่ฮั้วกับตำรวจ ยังไงก็ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี แล้วจะอธิบายไปทำไม

ผมเองก็ไม่รู้ว่า กรณีของหมูแฮม จะเป็นอาการชักเกร็งจริงหรือไม่
แต่ถ้าเกิดเป็นคนในครอบครัวผมไปเป็นผู้ก่อเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
(และเจ้าตัวเป็นโรคลมชักจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ ไม่ได้ฮั้วกับตำรวจ)
แล้วเจอภาพกระเป๋ารถเมล์ "ไร้การศึกษา" พูดออกโทรทัศน์แบบนี้
ผมจะด่ากลับให้หนักกว่าคุณพ่อของหมูแฮมเป็นสิบเป็นร้อยเท่าแน่

ใครจะไปรู้ ละครน้ำเน่าอาจส่งผลกระทบต่อคนระดับรากหญ้าให้รู้สึกเกลียดชังคนรวยและตำรวจจริงๆ ก็ได้
อย่างให้สัมภาษณ์หน้ากล้องโทรทัศน์ โดยสวมบทเป็นนางเอกที่แสนดี ผู้ถูกสังคมกดขี่ในละครไทยหลังข่าว
จนไม่มีใครสังเกตคำให้สัมภาษณ์ของกระเป๋ารถเมล์ที่เปลี่ยนไป เพราะกำลังด่าพ่อหงิกศักดิ์อย่างเมามันส์
แถมคู่กรณีอีกฝ่ายนั้น กระทำผิดจริงๆ อย่างชัดเจน จึงไม่มีใครสนใจว่าข้อมูลอะไรถูกใส่ไข่เพิ่มเข้าไปบ้าง
สมควรยิ่งที่คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ต้องมาจัดระเบียบละครน้ำเน่าอย่างรวดเร็วเฉียบขาด

ปล. 1 เนื่องจากคลิปรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ช่วงดังกล่าวมีขนาดกว่า 40 M ความยาวร่วมๆ ครึ่งชั่วโมง
ตอนนี้กำลังคิดหาวิธีอยู่ครับ ว่าจะปล่อยไฟล์ดังกล่าวลงใน Entry นี้ทางช่องทางไหนดี ที่อัพได้สะดวกหน่อย

ปล. 2 มาคิดดูอีกที ถ้าเปลี่ยนจากรถเบนซ์เลขทะเบียนสวยๆ ไปเป็นรถญี่ปุ่นมือสองสภาพโทรมแบบสุดๆ
ครอบครัวนามสกุลไม่ดัง มีหนี้หัวโต แล้วจะมีผู้อ่านข่าวชื่อดังตัวย่อ ว. ออกมาพิพากษาชี้นำสังคมหรือเปล่า

ปล. 3 หมูแฮมกระทำผิดจริง (เพราะเหตุจากโรคลมชักเวลานี้ยังไม่มีข้อยกเว้นทางกฎหมายแต่อย่างใด)

Related Links

* โรคลมชัก http://www.bangkokhealth.com/neuro_htdoc/neuro_health_detail.asp?Number=9145
* โครงการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักครบวงจร http://www.thaiepilepsy.org/
* โรคลมชักกับกฎหมาย (ไฟล์ .PDF ขนาด 1 MB) http://www.thaiepilepsy.org/lflnews2549/lfl-news-special-dec2006.p

นี่คือความเห็นของคนอื่น...ที่ดูเหมือนจะเริ่มรู้จักมองอะไรอย่างสองด้าน ส่วนความเห็นที่มาด่านั้น ไม่เอามาลง เพราะใน พาลทิพย์ (พันทิพย์) มีเยอะแล้ว

กระเป๋ารถเมย์บางทีมันก้กวนตืนเหมือนกันน๊ะเราขึ้นบ่อย บางทีมันก็หงุดหงิดใส่ผู้โดยสารพูดจามะนาวไม่มีน้ำบ้าง สรุปว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดังโปรดใช้วิจารณญาณย์ในการฟัง ควรแยกเป็นประเด็นๆไป ผิดก็อยู่ส่วนผิด ถูกก็อยู่ส่วนถูก ฟังแบบมีเหตุผล สรุปว่าเราไม่ได้เข้าข้างใครแต่ว่า ควรคิดให้กลางๆไม่ร้ายไปไม่ดีไป เพราะ ว่าวันนี้เราเจอกระเป๋ารถเมย์ 2คน ไม่รู้ไปทะเลาะกับสามีเหรอว่าเป็นข่าวฮอตเลยไม่เห็นหัวผู้โดยสาร

Name : 555555+


โรคทางจิตมันเปนโรคที่ซับซ้อนนะ จะแกล้งทำหรือเปนจริง มีใครในที่นี้เปนหมอเหรอไง ถึงได้ตัดสินแทนขนาดนั้น .. ก้เพราะว่าใช้อารมณ์กันอย่างนี้ล่ะ ประเทศมันถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้ แค่ความคิดเห็นแตกต่างก็แทบจะฆ่ากันให้ตายแล้ว คนตาย เค้าตายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก้คนเป็น..กม.มันก็ยังมีอยู่ จะพิพากษารับโทษยังไง มันก็มีบทลงโทษเหอะ ถ้าไม่ใช่พ่อมัน แล้วมันไม่ใช่ลูกคุน หรือถ้าไม่ได้มีญาติฝ่ายไหนเปนกระเป๋ารถเมล์ ก็ไม่ต้องสาด..ใส่กันอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรโง่ๆออกมาหรอกนะว่าวัดยังไงว่าไร้การศึกษา.. ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไรล่ะ การศึกษามันทำให้เราคิดเป็น คิดจะใช้เหตุผลให้ได้มากกว่าอารมณ์แต่ก็จริงอยู่สำหรับบางคนว่าการศึกษามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังไงมันก็มีส่วน..เพราะถ้าคนมีการศึกษา ก็คงมีทางเลือกที่จะไปทำอย่างอื่นมากกว่ามาเปนกระเป๋ารถเมล์แล้วล่ะ

Name : มีการศึกษาว่ะ

เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ...

Name : HaluHalu

แล้วก็ลองนึกย้อนดูด้วยวว่า ที่ผ่านมารถเมล์และรถร่วมบริการทำคนเจ็บคนตายจากความประมาทความชุ่ยที่เห็นกันจะๆกี่ราย เห็นว่าปีหนึ่งมีคนตายเพราะอุบัติเหตุจากความชุ่ยแบบนี้เกือบ30รายทีเดียว ทั้งจากสภาพรถที่ไม่ได้ความ ซิ่งแข่งกันรับผู้โดยสาร ยิ่งพวกรถร่วมบริการสีเขียวนี่ชอบทำตัวเป็นมาเฟียประจำท้องถนน ล่าสุดรถร่วมบริการก็ทำเรื่องแย่อีกหนึ่งเรื่อง ด้วยการหยุดประท้วงเรื่องขอขึ้นค่าโดยสาร หยุดวิ่งประท้วงน่ะไม่ว่า แต่มาชุมนุมกีดขวางการจราจรของผ๔ใช้รถรายอื่นบนท้องถนนด้วยนี่น่าด่าจริงๆ

Name : John

แล้วรู้สึกว่าหลังจากนั้น4เดือน พรบ.กฎหมายเรื่องคอมพิวเตอร์ ก็ออกมา ซึ่งมีเรื่องบทลงโทษพวกที่ชอบโพสต์ข้อความด่าคนนั้นคนนี้เสียๆหายๆแบบโอเวอร์เกินเลย (แม้เขาจะผิดจริง) ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกนักโพสใน พาลทิพย์ กับใน ผู้จัดเกรียน(ผู้จัดการ) พวกนี้นี่แหล่ะ

แต่ตอนนี้ก็ยังคงมีให้เห็นได้ทั่วไปทุกแห่งที่มีการให้แสดงความคิดเห็น พรบ.ฉบับนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่เสือกระดาษไปเสียแล้วหล่ะครับ

edit @ 27 Nov 2008 00:04:57 by คนอ้วนใส่สูท

-----------------------------------------

ความคิดเห็นส่วนตัว ณ : นี่แหล่ะน้าคนบนโลกออนไลน์ อย่าเอาอะไรมากนัก ผ่านมาหลายปี พวกนั้นก็ดีแต่ออกความเห็นด่าคนกันเข้าไป ใครไม่เห็นด้วยกับพวกที่ไปด่านายหมูแฮมหรือด่าอะไรก็ตาม ก็ถูกหาว่าเป็นคนเลว ตอนนี้เลยอยู่ประจำแค่ที่ Thairetro เพราะคนที่นั่นมีมารยาทกว่ากันเยอะมาก

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้สึกของ คนรู้จักของผมคนหนึ่ง ที่มีต่อ Thaibrickclub

เป็นคนรู้จักจากเว็บบอร์ดที่ผมเรียกขานว่า ที่พึ่งอันเกษม อาจจะไม่ได้เป็นคนที่สนิทสนมกันมากนัก ผมได้ส่ง link เรื่องเหตุการณ์ระหว่างผมกับบรรดา ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง TBC ครั้งล่าสุด และคนรู้จักของผมคนนี้ ได้อ่านเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงกระทู้ วิเคราะห์มูลค่าเลโก้ในไทย แล้ว ก็ได้แสดงความเห็นออกมา ผมลืมใจความแบบต่อเนื่องไปแล้ว แต่จับประโยคที่พี่เขาพูดต่อสิ่งที่เห็นใน TBC ได้คร่าวๆดังนี้ (ซึ่งหลังจากฟังแล้ว ยิ้มกริ่มเลยหล่ะ)
"น้องพวกนี้ดูเขายังเด็กอยู่เลยครับ"
"ของขายในห้างฯมันก็แพงทั้งนั้นแหล่ะครับ ขนาดจอยเกมของใหม่ที่ขายตามร้านในคลองถมราคาพันกว่าบาท พอขายในห้างฯราคาปีนทะลุสี่พันเลยครับ"
"ขายของ ทำธุรกิจก็ต้องหวังกำไรทั้งนั้นแหล่ะครับ พวกน้องๆเขาไม่ได้ทำธุรกิจเอง ก็คงไม่รู้หรอกครับ"
"ของนำเข้าพวกนี้ภาษีมันแพงอยู่แล้วหล่ะครับ"
และยังปิดท้ายประโยคด้วยความเป็ห่วงผมด้วยว่า
"น้อง Goodman อย่าไปซีเรียสอะไรกับมันเลยครับ มีแต่จะปวดหัวเปล่าๆ"
"ถ้าหาเหตุผลไปอธิบายแล้วพวกเขาไม่ยอมฟัง ก็อย่าไปเสียเวลาเลยครับ"

อาจจะไม่ถึงขั้นกับเป็นคำพูดแบบ word-by-word (ถ้าอัดเสียงพูดโทรศพท์เอาไว้ คงจะถอดข้อความแบบ original มาลงแล้วหล่ะ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ) แม้ว่าพี่เขาอาจจะไม่ได้อยู่ข้างผม หรือให้ท้ายใดๆแก่ผม ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นอยู่แล้วจากการนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่เขา แต่อย่างน้อยผมก็ได้ฟังความคิดเหตุที่มีเหตุผลมีวิจารณญาณ ของคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยิน ไม่ใช่คำพูดจากคนหมู่มากที่เอาอารมณ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง

ที่พึ่งอันเกษม ที่ผมเรียกขานนั้น สมชื่อจริงๆครับ เวลาผมอยากปรึกษาอะไร อยากระบายความในใจอะไร (ที่ไม่เลยเถิดขอบเขตของที่นั่น) ก็ได้รับแต่ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น และดูเหมือนพวกพี่ๆที่นั่น เขาก็บริหารจัดการความเรียบร้อยในเว็บบอร์ดในเป็นอย่างดีมากด้วยครับ ฟันธง

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เช็คที่มาของโทรศัพท์มือถือว่ามีคุณภาพหรือเปล่า

อยากรู้ว่าโทรศัพท์มือถือของท่านเป็นของแท้หรือไม่?

กดเครื่องหมาย *#06# หมายเลขรหัสจะปรากฎขึ้นมา โปรดดูหมายเลขที่ 7 และ 8 ดังนี้

1 2 3 4 5 6 7th 8th 9 10 11 12 13 14 15

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 02 หรือ 20 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบในประเทศจีนซึ่งมีคุณภาพต่ำ

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 08 หรือ 80 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตในประเทศเยอรมันซึ่งมีคุณภาพปานกลาง

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 01 หรือ 10 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตในประเทศฟินแลนด์ซึ่งมีคุณภาพดีมาก

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 00 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตจากโรงงานผลิตโดยตรงซึ่งมีคุณภาพดีที่สุด

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 13 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบที่ประเทศอาเซอร์ไบจันซึ่งมีคุณภาพเลวและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ


หุหุ แล้วโทรศัพท์ของพี่น้องละค่ะมีคุณภาพหรือเปล่า?

---------------------------------------------------

เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยลองเช้ค Nokia 6020 ของผม ปรากฎว่า 00 ครับ

พอมาลองเช็คตัว 6110 เครื่องที่ใช้ในตอนนี้ ได้ออกมาเป็นเบอร์เต็มๆคือ 350894300455021 เลยยังงๆอยู่ๆ แต่ก็ดี ที่ไม่ใช่ของมาจากจีนหรืออาเซอร์ฯ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

LEGO CITY ที่อุตส่าไปหอบมาจาก Singapore













ไปมาเมื่อ 16-18 เมษายนที่ผ่านมา ได้ LEGO CITY มา 3 ชุด ได้แก่ 3177 : small car, 7893 : passenger plane, 3179 repair truck

ลงมือต่อเสร้จในคืนนั้นที่กลับมาถึงบ้านที่ร้อยเอ็ด และได้ update รูปโต๊ะโชว์ LEGO ไปในตัว ดูสวยขึ้นเยอะเลยนะ

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

บรรยากาศเก่าๆจาก คุณปอนด์ เจ้าพ่อแห่ง TBC

จากตรงนี้ จนถึงเส้นประชุดแรก คือ คำพูดของคุณปอนด์ เจ้าพ่อ TBC ที่เหลือ คือคำพูดของผมทั้งหมดในนั้น

[quote author=Bricker® link=topic=993.msg42337#msg42337 date=1270002088]
กฎของเว็บไม่ได้มีข้อยกเว้น ใครที่ใช้ภาษาที่หยาบคายและดูเหมือนไร้การศึกษามากๆ แบบอานนท์ ผมเตือนทุกคน

อีกอย่างอย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะอานนท์ ถ้าอานนท์คิดว่าจะเข้ามาป่วนที่เว็บนี้ ผมขอร้องอย่าดีกว่าครับ

อานนท์ก็เป็นคนมีการศึกษา ผมพูดเท่านี้หวังว่าคงเข้าใจนะครับ
[/quote]

------------------------------------------------
แต่ถ้าเอาคำพูดสไตล์ วิเคราะห์มูลค่าเลโก้ในไทย ไปใช้ในเว็บบอร์ดที่ผมอยู่ อาจจะมีสิทธิ์ โดนแบน 6 เดือนได้เลย และแน่นอนครับว่า โดนลบกระทู้ด้วย

แถมที่นั่น ยังมีกฎบอกไว้ชัดเจน (โดยไม่ต้องมานั่งเดาเอาเอง) ด้วยว่า 1 คน ต่อ username ใครแหกกฎข้อนี้ โดนแบน 6 เดือน คือที่นั่นน่ะ ไม่มีข้อยกเว้นของจริงครับ เป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหน ทำผิดกฎ ถ้าตักเตือนแล้วยังเฉยหรืทอลืมแก้ไข โดนทันที

เว็บบอร์ดที่ผมอยู่ เป้นเว็บฯเกี่ยวกับของประเภทหนึ่งที่เข้าข่ายคล้ายเลโก้ คือ เป็นได้ทั้งของเล่น และของสะสม รู้จักกันทั่วทุกหัวระแหง ทุกคนนในนี้เคยใช้และอาจจะยังเก็ยไว้อยู่ (แต่บางคนอาจจะทิ้งไปเพื่อไปหาอันที่ใหม่กว่า) ส่วนใหญ่เป็นของนำเข้า ราคาที่ขายในไทยก็อยู่ในเกณฑ์ สมเหตุสมผล อาจจะถูกที่สุดใน Southeast Asia เลยก็ได้

ที่นั่นเองก้มี ส่วนสำหรับโชว์ของสะสม ที่แต่ละคนที่เอามาโขว์นั้น รวมมูลค่าแล้วแพงไม่ใช่เล่น คนที่มีมากที่สุดเห็นว่ารวมมูลค่าแล้ว ซื้อรถเก๋งอย่าง Honda City เงินสดได้เลย

มีสมาชิกแล้ว 1800 กว่าคน สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่อายุอานามทะลุ 21 ปีเป็นอย่างน้อย หลายคนก็มีลูกกันแล้ว เว็บมาสเตอร์ และ ผู้ช่วยเว็บบอร์ดที่นั่น อายุไม่ต่ำกว่า 28 ปีทุกคน (หนึ่งในนั้นมีลูกแล้วด้วย) คนส่วนใหญ่ในเว็บฯนั้น เป้นเพื่อนสนิทกันมาก่อนที่จะมาก่อตั้งเว็บฯเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ เพื่อนนิทกัน ถ้าเผลอทำผิดกฎเมื่อไหร่ ก็ต้องโดนเหมือนกัน

ทุกกระทู้ที่ผมเคยโพสที่นี่ ผมเอาไปโพสที่นั่นหมดเลย (ยกเว้นเรื่อง LEGO) โดยตัดแต่งข้อความบางส่วนเกี่ยวกับเรื่อง LEGO ออกไปบ้าง ไม่ว่าจะเป้นเรื่อง ข้อเสียของรถ 4WD, สัจธรรม 110 ข้อ, ข้อดีของการเป้นโสด,โฆษณาไทยที่ไม่เข้าท่า และอีกทุกเรื่อง แม้จะไม่ได้กลายเป้นกระทู้ยอดนิยม (บางกระทู้ก็ตกไปแล้วหลายหน้า)แต่ก็มีคนเข้ามาตอบ มาออกความคิดเห็น ด้วยคำพูดที่ดูสุภาพ เป้นกันเอง มีความรู้เสริม หลายคนที่นั่นก็เคยเจอประสบการณืเดียวกับสิ่งที่ผมโพส ไม่มีการเอาอคติส่วนตัวมาว่ากัน (ไม่มีการมาชี้หน้าว่าผมเป็น พวกลัทธิรถเก๋ง) และไม่เคยโดนลบออกไปจากคลังกระทู้ (แม้มันจะเก่าจนตกหน้าไปตั้งนาน กระทู้บางคนที่เป้นข่าว out trend ไปแล้ว ยังมีให้อ่านอยู่เลย) เวลาผมโพสอะไรในลักษณะระบายอารมณ์จากสิ่งที่เจอมา ก็มีคนมาคอยเหมือนปลอบให้ใจเย็นๆ โลกนี้ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะ (ไม่ใช่มาต่อว่า แต่แน่นอน ต้องมีการ censor บางคำออกไปบ้างก่อนผมจะโพส) จนตอนนี้ผมมีคนมาคอยติดตามประจำ คอยอ่านคอยโพส (แบบเฮฮา) ผมเอา LEGO ไปโพสโชว์ที่นั่น ยังมีคนตามมาออกความเห็นในเชิงบวกอยู่เยอะมาก เรียกว่า ถ้าเปรียบเว็บฯนั้นเป็นรถยนต์สักยี่ห้อ ต้องเป็น Mercedes-Benz ไม่ก็ BMW หรือ Lexus ครับ

lj;oใครที่ไม่อยากเห็นกระทู้ผมอีกหล่ะก็ ยินดีด้วยครับ หลังจากวันที่ 1 พค เป็นต้นไปนั้น หน่วยงานของรัฐเรียกตัวผมแล้ว (ตามความสมัครใจของผมเอง และเป็นสิ่งที่ชายไทยทุกคนต้องทำ) อย่าว่าแต่อินเตอร์เน็ทเลย โทรศัพท์มือถือก็คงไม่ได้แตะ เป้นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน หลังจากนั้น ก็อาจจะได้แตะบ้าง แต่ก็ทำประจำแบบที่ผ่านมาไม่ได้ เป้นเวลาอย่างน้อยอีก 4 เดือน แต่ในช่วง 6 เดือนนั้น ก็มีเงินเดือนให้ผมด้วย แม้จะไม่สูงเท่าพวกนักกฎหมาย แต่การไปใช้ชีวิตแบบนั้น ที่แทบจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย (ข้าวก็กินข้าวหลวง ที่พักเสื้อผ้าก็หลวงหาให้พร้อม) พอพ้นวาระออกมา ก็คงมีเงินอีกเยอะ พอไปสิงค์โปร์ได้อีกรอบ (ต่อให้หักค่าข้าวค่าเสื้อผ้าไปแล้ว)...หรือไม่ก็ผมก็อาจจะใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปอีกก็ได้ เพราะเห็นว่ารายได้ต่อเดือนนั้น พอหอมปากหอมคอเลยหล่ะ

ก่อนปิดท้าย มีเงิน 20000 บาท ระหว่าง XBOX360 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด กับ Death Star จากสิงค์โปร์ เลือก XBOX360 ดีกว่าครับ คุ้มเงินและเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มากมายเลยด้วย (แต่ถ้าจะเอา 20000 บาทไปซื้อ LEGO CITY ทุกชุดที่ยังไม่มี อันนี้คุ้มกว่า)
---------------------------------------------------------

นึกถึงบรรยากาศเก่าๆเมื่อตอนเดือนสิงหาคมปีที่แล้วเลยนะเนี่ นายนิกขาประจำก้มาร่วมแจมด้วย (นายเป็ด นายแบงค์ น้องเบน พักผ่อน) แต่หลังจากผมไปเป็นทหาร เจ้าพวกนี้คงไม่ได้เห็นผมไปอีกนานชนิดสมใจอยากแน่ๆ อย่างน้อยก็ 6 เดือนเลยหล่ะ มาเจอกันอีกที อาจจะเป้นตอนที่ผมมี Peugeot 406 (หรืออ่นๆที่ดีพอๆกันหรือดีกว่า)เป้นของตัวเองไปแล้วก็ได้

Singapore ดีกว่าไทย....Think Again

แน่นอนครับ ที่ Singapore เรียนฟรี (ฟรีจริงๆ), เงินเดือนเยอะ, แหล่งช็อปปิ้งเพียบ, สวัสดิการหลายอย่างดี, บ้านเรือนสะอาดสะอ้าน และ LEGO ถูกกว่าไทย แต่...

1.ที่นี่ ประชาชนไม่มีสิทธิ์ในการครอบครอง เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม/จานดาวเทียม หรือมีเคเบิ้ลทีวีแบบบ้านเรา เพราะทางรัฐ,บาลเขาควบคุมเอาไว้ แต่ช่องที่รัฐบาลส่งมาให้ดู ก็มี CNN กับ ESPN ด้วยนะ (แต่สำหรับผม มันจะอกแตกตายครับ ให้ดูแค่ไม่กี่ช่องเนี่ยนะ)

2.ถ้าคิดว่ารถยนต์เมืองไทยราคาแพงแล้ว ที่นี่เหรอครับ ภาษีรถยนต์นั้นสูงมโหราฬ เนื่องจากที่นี่ไม่มีโรงงานประกอบรถยนต์ รถยนต์ที่ขายอยู่ไม่ว่าจะยี่ห้อใด จึงต้องนำเข้าสภานเดียว แม้แต่รถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็กๆระดับธรรมดาๆ ราคาก็ขึ้นไปถึงเฉียดล้าน จนทะลุหลักล้านบาทไทย และก็เป็นยี่ห้อและรุ่นที่มีวิ่งเกลือนกลาดในบ้านเรานี่แหล่ะ (และนำเข้าจากบ้านเรา) จะมีถูกหน่อยก็พวกรถที่จัดเข้าประเภท weekend car ที่จะใช้ป้ายทะเบียนสีแดง ราคารถยนต์และค่าต่อประกันก็ถูกกว่าระดับปกดติ 30% ขับได้เฉพาะวันหยุดเท่านั้น ถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะนำมาขับในวันะรรมดาก็ได้ แล้วค่อยไปจ่ายภาษีเพิ่มเติมทีหลัง เพราะรภทุกคันจะมีหล่องสีดำติดตรงกระจก เป้นเหมือนเครื่องติดตามรถคันนั้น และข้อมูลการต่อทะเบียนกับข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องและจำเป็น

3.และกฎหมายที่นี่ บังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องทำประกันภัย ที่สำคัญ ค่าต่อประกันภับรถยนต์ต่อปีนั้น สูงถึง 50,000 บาทเลยหล่ะ

4.ยังไม่พอ การจะมีรถยนต์สักคัน ต้องมีหลักฐานยืนยันเรื่องการมีที่จอดรถเป็นของตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่เหมือนบ้านเราที่จะไปจอดข้างทางตรงไหนก็ได้ คนรวยที่นั่นน่ะ มีรถยนต์มากสุดก็แค่ 2 คันเท่านั้น

5.อยากจะเลี้ยงหมาสักตัวงั้นเหรอครับ เห็นว่าขนาดแค่ลูกหมาชิวาว่าตัวเล็กๆ ราคาขึ้นไปแตะยัน 4,000 เหรียญแล้ว และต้องมีบ้านเป็นของตัวเองด้วยนะ แต่ที่นั่นเขาก็สนับสนุนให้เด็กๆเลี้ยงสัตว์เพื่อฝึกความรับผิดชอบ (คำบอกเล่าจาก คุณโจ ไกด์ทัวร์ของ trip นี้ เป็นคนสิงค์โปร์แต่พูดไทยได้ชัดมาก)

6.และที่นี่มีกฎหมายว่า บ้านและอาคารจะต้องทาสีทุกๆ 5 ปี บ้านเก่าเกิน 30 ปี ต้องรื้อทิ้ง

7.ที่นีจะมีที่อยู่อาศัยทั้งของรัฐบาลและเอกชน พวกที่มีรายได้เกินกว่ากำหนด จะมาทำตัวขี้งกด้วยการยังอยู่ในที่อยู่อาศัยของรัฐบาลไม่ได้ ต้องไปหาที่อยู่ของเอกชน ส่วนพวกรายได้ไม่ถึง จะไปทำตัวใฝ่สูงเกินศักดิ์ (และกำลังเงิน) อยู่ในที่อยู่อาศัยแพงๆของเอกชนก็ไม่ได้ แล้วที่อยู่อาศัยที่นี่ ถูกซะทีไหนหล่ะครับ คนส่วนใหญ่ที่อยู่คอนโดฯก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ใครมีบ้านนี่ ถือว่าต้องรวยมากๆ

8.ลืมบอกไป ที่นี่น้ำมันเบนซิน ลิตรละ 60 บาท รายได้สูง แต่รายจ่ายก็สูงตาม

9.ถ้าคิดว่าสินค้าอย่างอื่นจะราคาถูกตาม LEGO นั้น ผมมีตัวอย่างเจ๋งๆจะให้ดูครับ

-Memory Stick ขนาด 8 GB เมืองไทยขาย 500 กว่าบาท ที่นี่ราคาพุ่งไป 600 กว่าๆ อาจะแตะ 700 บาท, Memory Stick ขนาด 8GB ของ Sony ราคาขายที่นี่สูงถึง 60 เหรียญสิงค์โปร์
-กล้อง Canon 5D เฉพาะตัว body นั้น ที่นี่ขาย 38,000 บาท ในขณะที่เมืองไทย ราคาแค่ 33,000 บาท
-เครื่องเล่นวีดีโอเกมก็เหมือนกันครับ ราคาไม่ต่างจะเมืองไทย ที่ Singapore เครื่อง Wii ขายในราคา 599 เหรียญสิงค์โปร์ คิดเป็นเงินไทนราวๆ 9,500 กว่าบาท ซึ่งเมืองไทยก็ขายในราคานี้ (แถมแปลงเครื่องเล่นข้ามโซนแล้วด้วย) เครื่องเกมอื่นๆอย่าง PS3, XBOX360 ก็ดูท่าจะพอๆกัน แต่ที่นี่แผนกเกมในห้างฯดูเป็นสัดส่วนและใหญ่ดีครับ
-พวกโทรศัพท์มือถือ ราคาไม่ต่างจากบ้านเรา
-เสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนม มีแค่บางรายการที่ถูกกว่าในบ้านเรา แต่เห้นว่าพวกนาฬิกาข้อมือ มีคนในทัวร์พูกมาว่า แพงกว่าในไทย
-อาหารยิ่งไม่ต่องถามถึงครับ มื้อหนึ่งอย่างถูกสุดก็ราคาทะลุ 3 เหรียญสิงค์โปร์ขึ้นไป..น้ำอัดลมแบบกระป๋องที่นี่น ราคาถูกสุดก็กระป่องละ 1 เหรียญสิงค์โปร์ (แพงกว่าไทยเกือบเท่าตัว) ในร้านสะดวกซื้อ ราคาอาจะแตะ 1.8 หรือ 2 เหรียญสิงค์โปร์ แล้วราคาของน้ำอัดลมกระป๋องแต่ละยี่ห้อ ไม่เท่ากันซะงั้น ทั้งที่ความจุของกระป๋องก็เท่ากัน

แค่เรื่องรถยนต์กับจานดาวเทียม ก้ทำให้ผมคิดอย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า อยู่เมืองไทยดีกว่า

หมายเหตุ

-ช่วงที่ผมไปเที่ยวนั้น 1 เหรียญสิงค์โปร์ เท่ากับราวๆ 24 บาทไทย
-ที่นี่ รถยนต์ยี่ห้อ Subaru ค่อนข้างได้รับความนิยม แม้ราคาขายจะแพงขึ้นหิ้งเหมือนรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้ออื่นๆ
-Lucky Plaza ในย่าน Orchard บรรยากศเหมือน Pantip Plaza และ มาบุญครอง ในบ้านเราเป๊ะ
-Arcade Game ที่ห้างฯ Iluma บนถนน Queens (โรงแรมที่ผมพักอยู่ฝนย่านนี้) มีพื้นที่กว้างมาก 1 ใน 3 ของชั้นนั้นเต็มไปด้วยตู้เกมหลากแบบ ใหญ่โตโอ่อ่า สะอาดสะอ้าน คนรัก Arcade Game ต้องชอบแน่ๆ

ของที่ระลึกที่ผมได้กลับมา มี LEGO CITY จำนวน 3 ได้แก่ mini car, repair truck และ passenger plane 2 กล่องแรก ซื้อจากหางฯแถว Malay Street ซึ่งเดินข้ามทางเชื่อมต่อจาก Iluma ไปยังถนนอีกฟากหนึ่ง กล่องสุดท้ายไปสอยที่ Toy R'Us ในห้างฯ Paragon บนถนน Orchard
(69.99 เหรียญ ไม่ซื้อ..ก็บ้าแล้ว)

ไว้พ่อผมกลับจากอบรมการถ่ายภาพที่จังหวัดอยุธยาเมื่อไหร่ จะเอาภาพจตอเที่ยวมาให้ดูกัน เพราะภาพถ่ายตลอดการท่องเที่ยวทั้งหมดอยู่ในกล้อง Canon 450D และมือถือของพ่อผมซึ่งพ่อผมเอาไปด้วย

คุ้มค่าจริงๆ กับการไปเที่ยวครั้งนี้ เสียดาย ในโปรแกรมทัวร์ ไม่มี Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก

แถมส่งท้าย update ราคา LEGO CITY ที่สิงค์โปร์ (SGD)

8398 (BBQ Stand) :6.90 (165.60 บาท)
7942 (4WD Fire Pick-Up Truck) :20.50 (492 บาท)
3178 (Sea Plane) :19.90 (477.6 บาท)
7637 (Farm) :152.90 (3669.6 บาท)
เพลทถนน :25.90 (621.6 บาท)
8401 (Sport Car) : 16.90 (405.6 บาท)
7744 (Police Headquarter) :199.90 (4797.6 บาท)
3180 (Tank Truck) : 39.90 (957.6 บาท)
7743 (Police Commander) :89.90 (2157.6 บาท)
7741 (Police Helicopter) :29.90 (717.6)
3182 (Airport) :189.90 (4557.6 บาท)
Tow Truck : 24.90 (597.6 บาท)

ดูเหมือนว่างานนี้ ใครบางคนใน Thaibrickclub ควรถอนคำพูดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราคา LEGO ในไทยได้แล้วหล่ะ

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

เคเบิ้ลทีวี และ ทีวีผ่านดาวเทียม คือสิ่งที่วิเศษที่สุดของมวลมนุษย์

3 ปี ที่ครอบครับผมได้นำสิ่งที่เรียกว่า True Viisions เข้ามาในบ้าน และมันก็ไม่เคยให้ผมและครอบครัวต้องผิดดหวัง มีสารคดีเยี่มๆให้ดู หนังแบบรรยายไทย ฟุตบอลถ่ายทอดสดตั้งหลายคู่ รายการโชว์จากต่างประเทศหลายรายการที่มีสาระ ตอนเริ่มต้น เราใช้แค่ Knowledge จนเมื่อราวๆมีนาคม ปี 2009 พ่อผมก็ได้ไปเปลี่ยนเป็น Gold และขยายจุดรับชมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจุด จนตอนนี้ บ้านผมมีจุดรับชม 3 จุด และไม่เคยคิดที่จะไปยกเลิกการเป็นสมาชิกเลย

ก่อนหนานี้ครอบครัวก็ดูเคเบิ้ลทีวี ที่บริการโดยผู้ให้บริการเจ้าหนึ่งในจังหวัดที่ผมอยู่ ซึ่งก็ทำให้ผมพอใจได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่แจ่มเท่า True Visions แต่ก็ดีกว่า free tv

อย่างน้อย การมีเคเบิ้ลทีวี หรือ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่าง True Visions ก็ยังดี กว่าการดู free tv ที่มีแต่
-ข่าวจากผู้ประกาศข่าว ที่แทบจะไม่มีความเป็นกลาง แสดงอารมณืด้วยอคติส่วนตัว
-SMS ความคิดเห็นบ้าบอคอแตก ดูจากถ้อยคำที่ใช้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า นี่หรือคนมีการศึกษาเขาทำกัน
-ละครน้ำเน่าห่วยๆ
-และอีกสารพัดสิ่งที่ผมสุดที่จะทนกับมัน

free tv ห่วยแตก พอๆกับคนหลายคนที่ผมต้องคอยทนด้วยตอนเรียนอยู่ตั้งแต่ชั้นประถทยันมหาวิทยาลัย พอๆกับคนหัวโบราณบางคนที่ผมเคยยกมือไหว้ และอีกหลายคนที่เคยเข้ามาในชีวิตผมแบบ กวนteen

สวสัดี เคเบิ้ลทีวี แล โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม หนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมของมวลมนุษย์สร้างสรรมันขึ้นมา ความบัเทิงชั้นเยี่ยมส่งตรงถึงห้องนอนคุณตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเครียดกับอะไรก็ตาม รายการทีวีจากเครือข่ายผู้ให้บริการเหล่านี้นี่แหล่ะ ที่ทำให้ผมมีความสุขได้

สารคดีเยี่ยมๆ จาก History, National Geographic และช่อง True Explorer 3 (พร้อมพากย์ไทยให้ด้วย)
หนังบรรยายไทยแจ่มจาก HBO, cinemax, Star Moive (ที่ไม่มีทำเบลอในบางจุด ลาก่อนเซ็นเซอร์ เสียงพากย์ไทยแบบงี่เง่าและดูถูกภูมิปัญญาคนดู)
การตูนดีๆจากช่อง Spark และ Cartoon Network
และรายการโชว์จากต่างประเทศแจ่มๆทาง True X-Zyte

ส่วนพวกคอกีฬาลูกหนัง ลูกสักหลาด และกีฬาอื่นๆก็จุใจกับช่องกีฬาอีกมากมายที่เกินจะพรรณนาได้

ฉันรักเคเบิ้ลทีวี และ ทีวีผ่านดาวเทียม มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ความบันเทิงชั้นเยี่ยมในบ้านคุณ

แต่ก้ยังไม่วาย มีไอ้คนบางจำพวก บอกว่าโทรทัศน์คือสิ่งที่แย่ การมีทีวีหลายร้อยช่องไว้ดูคือสิ่งไร้ประโยชน์ โดยเอาข้ออ้างเรื่องพฤติกรรมของเด็กจากทีวีมาเป็นเหตุผล และอีกสารพัดอย่างที่แสดงออกว่าเป็นพวกต่อต้านสิ่งเหล่านี้ ผมขอจองเวรและขออาฆาตแค้นพวกนี้ทุกคน แบบที่หลายๆคนในที่นี้มีต่อพวกนำจับลิขสิทะนั่นแหล่ะครับ

รวมถึงพวกที่ออกมาพูดแบบนี้ต่อวีดีโอเกม ผมก็ขอจงเกลียดจงชังด้วยเช่นกัน คนพวกนี้ก็พอๆกับ free tv นั่นแหล่ะ (S*CK)

ขอลั่นวาจาไว้เลยว่า ถ้าผมมีลูกมีหลาน ผมยินดีที่จะให้พวกเขารับความบันเทิงจากเคเบิ้ลทีวีและทีวีผ่านดาวเทียม โดยไม่สนคำพูดของพวกสมาคมผู้ปกครองหรือใครกับหน่วยงานอะไรที่ออกมาพูดต่อต้านพวกนั้นเลย (และโลกความเป้นจริง มนก็ไม่ได้ต่างกันกับในทีวีหรอก)

ใช้ชีวิตอยุ่กับการดูทีวีผ่านดาวเทียม ดีกว่าต้องไปทนอยู่กับพวกงี่เง่า กวนteen หัวโบราณ แบบที่ผมเจอมา

ได้ระบายซะที เฮ้อ

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

สุดยอดกลโกงแห่งยุคดิจิตอล (สาระความรู้จากรายการ The Real Hustle ช่อง True X-Zyte)

1. ATM ปลอม

ใครๆอาจเคยได้ยินเรื่องพวกมิจฉาชีพแอบเอาอุปกรณ์แปลกๆไปติดตั้งไว้ตามตู้ ATM เพื่อขโมยข้อมูลบัตรของเหยื่อที่มาใช้บริการ แต่ครั้งนี้มาเหนือเมฆแบบสุดๆครับ ปลอมมันทั้ง ตู้ นั่นแหล่ะ

ด้วยการทำตู้ ATM ปลอมขึ้นมาเลย ทำสีสันเหมือนตู้ ATM แท้ๆทุกประการ ข้างในมีกลไกแบบตู้ ATM จริงๆ ปุ่มกดและจอภาพด้านนอกก็เช่นกัน โดยมิจฉาชีพจะนำตู้นี้ไปตั้งไว้ในย่านที่มีคนผ่านไปมาบ่อยๆ ตอนขนไปแน่นอนก็ดูเหมือนเป็นคนของธนาคารมาทำการติดตั้ง ในนั้นจะมีคนแอบซ่อนอยู่ พร้อมด้วย laptop หนึ่งเครื่องพิมพ์ตอบโต้กับเหยื่อที่มาหลงใช้บิรการ พร้อมทั้งเครื่องอ่านรหัสบัตรของเหยื่อ และมีกล้องเล็กๆซ่อนไว้จับภาพที่แป้นกดด้วย รอบๆตู้จพมีพรรคพวกคอยดุลาดเลากับส่งน้ำและอาหารให้พรรพวกในตู้ เมื่อเหยื่อมาใช้บริการ หลังจากสอดบัตรเข้าไปแล้วกดรหัส เครื่องก็จะบอกว่าไม่สามารถทำรายการได้ เหยื่อจากไป แต่มิจฉาชีพได้ข้อมูลในบัตรไปมูลค่าหลายหมื่นปอนด์ ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง กับเหยื่อ 25 ราย

2. Wi-Fi ปลอม

ตามโรงแรมใหญ่ๆในต่างประเทศ (ไม่รู้ในไทยมีหรือเปล่า) จะมีบริการ Wi-Fi แบบที่ผู้ใช้ต้องจ่ายเงินโดยจ่ายผ่านบัตรเครดิต ดดยกรอกรหัสและทำกระบวนการต่างๆผ่านหน้าจอ latop ของตัวเอง และวิธีนี้ก็เปิดช่องโหว่ให้มิจฉาชีพด้วยการตั้งเครือข่าย Wi-Fi ปลอมบริเวณนนั้น ตัวมิจฉาชีพที่มาพร้อมกับ laptop ก็ดูกลมกลืนเหมือนคนอื่นใน lobby ใน laptop นั้นก็จะปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ออกมา บรรดา laptop ของแขกทที่มาใช้เครือข่ายแถวนั้น ก้จะจับสัญญาณที่แรงและใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือจาก latop ของมิจฉาชีพ และหลงคิดว่านั่นคือเครือข่ายที่ไว้ใจได้ซึ่งบริการโดยโรงแรม เมื่อเหยื่อตัดสินใจ log-in เข้าใช้โดยจ่ายเงินผ่านรหัสบัตรเครดิต ข้อมูลบัตรเครดิตของเหยื่อก็ถูกขโมยไปเรียบร้อยแล้ว

3. สมัครงานปลอมๆ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มมิจฉาชีพที่ดูแนบเนียนอีกวิธีหนึ่ง โดยการเปิดบริษัทลักษณะคล้ายเป็นนายหน้าจัดหางาน โดยเช่าพื้นที่ในตึกสำนักงานสักแห่ง แล้วเมื่อมีคนหลงเข้ามาตามประกาศสมัครงาน ก็จะพบกับกลุ่มมิจฉาชีพที่แต่งตัวดูน่าเชื่อถือ ลักษณะภายในตัวสำนักงานที่ดูดี โดยเหยื่อจะถูกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวในคอมพิวเตอร์ที่เตรียมไว้ให้ในอีกห้องหนึ่ง ดดยพวกมิจฉาชีพก็จะอยู่อีกห้องเพื่อคอยดุข้อมูลที่เหยื่อกรอกผ่านทางคอมพิวเตอร์ของตนที่เชื่อมต่อกันไว้อยู่ ข้อมูลที่กรอกไปนั้นมีแม้กระทั่งเลขที่บัญชีธนาคาร รหัสประกันสังคม และอื่นๆอีกมาก

4. เคาเตอร์คิดเงินปลอม
อีกกลโกงที่สุดเสี่ยงและใจกล้ามากๆถึงจะทำได้ โดยมักจะเกิดในห้างฯใหญ่ๆ ตามช่วงเทศกาลที่มีการจับจ่ายอย่างวุ่นวาย (เช่น คริสมาสต์ วันขอบคุณพระเจ้า) ซึ่งมักจะมีเรื่องพนักงานดุแลไม่ทั่วถึง ก็เลยเปิดช่องโหว่ให้เกิดกลโกงนี้ขึ้นจากเหล่ามิจฉาชีพ โดยพวกเคาจะเลือกสักมุมในห้างฯที่ไม่มีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาดูแล (เพราะมัวแต่ไปอยู่ในจุดอื่น อันเป็นปัญหาในช่วงเทศกาล ห้างฯในมืองไทยก็เป็นเหมือนกัน พอช่วงเทศกาลที่มีการซื้อของเยอะๆ พนักงานก็วุ่นวายและดูแลไม่ทั่วถึง) มิจฉาชีพกลุ่มนี้จะมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ ที่ข้างในมี เครื่องคิดเงินแบบที่ทางห้างฯใช้ จัดการตั้งเครื่องบนเคาเตอร์สักแห่ง และแน่อน มันพร้อมทำการหลอกดูดเงินจากเหยื่อแล้ว ด้วยความวุ่นวายช่วงหน้าเทศกาล เหยื่อก็เข้ามาใช้บริการโดยไม่รู้ตัว มิจฉาชีพก็ได้เงินไปฟรีๆอื้อซ่า ระหว่างนี้ก็จะมีพรรคพวกคอยดูลาดเลา เหยื่อรายไหนที่ใช้วิจ่ายด้วยบัตรเงินสดหรือบัตรเครดิตนั้น ก้แน่นอนว่าถูกขโมบข้อมูลในบัตรไปแล้ว (มิจฉาชีพก็จะบอกว่าเครื่องมีปัญหาหลังทำการรูดบัตรกับตัวเครื่องคิดเงิน) เหยื่อที่หิ้วของออกไปก้เสี่ยงโดนจับเพราะคิดว่าขโมยในห้างฯของได้ เพราะมันไม่ใช่การจ่ายเงินจริงๆ

กลโกงของมิจฉาชีพตามห้างฯช่วงเทศกาล ยังมีอีกรูปแบบคือ บริการห่อของฟรี โดยทำเป็นสุ้มเล็กๆที่ลูกค้าไม่เห็นตอนห่อของ แน่นอนว่าของข้างในก็ถูกสับเปลี่ยน กว่าเหยื่อจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

5. คิดสักนิด ก่อนทิ้งเอกสารบางชิ้น

เพราะมันอาจมีข้อมูลสำคัญของคุณอยู่ในนั้นที่คุณำม่คิดว่าพวกมิจฉาชีพจะเอาไปใช้ทำอะไรได้ พวกใบเสร็จต่างๆด้วย ถ้าคุณทิ้งโดยไม่ทำลายมันอย่างดี พวกมิจฉาชีพก้จะไปคุ้ยมันจากถังขยะได้ และข้อมูลสำคัญพวกนี้ วพกมิจฉาชีพสามารถนำไปใช้แอบอ้างเพื่อทำบัตรเครดิต เช่าซื้อรถยนต์ และอื่นๆได้สบาย

ใครเคยดูรายการที่ผมดูก็อาจจะนึกออก รวมถึงกลโกงเรื่องอื่นๆที่สุดทึ่งและแนบเนียน มันอาจะเป็นเรื่องของเมืองนอกเมืองนาเขา แต่การต้มตุ๋นหลอกลวงมันมีพรมแดนซะที่ไหนหล่ะครับ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

สารพัดเรื่อง ตอแหล ที่มากับ forward mail

ถ้าได้รับ forward mail เกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ มันเป็นเรื่อง "ตอแหล" ครับ

1. เมื่อคุณโดนจี้ที่ตู้เอทีเอ็ม โดยบังคับให้กดเงิน ให้กดรหัสเอทีเอ็มย้อนหลัง แล้วกด ตกลง ระบบจะทกการแจ้งธนาคารว่าลูกค้ามีปัญหาที่ตู้นั้น และระบบจะทำการเรียกตำรวจโดยอัตโนมัติให้มายังที่เกิดเหตุในทันที

อีก3เรื่อง ตอแหล ที่เกี่ยวกับมือถือ

2. ถ้ารถคุณใช้กุญแจรีโมต หรือมีกันขโมยแบบรีโมต แล้วเดิดลืมกุญแจหรือตัวรีโมตไว้ในรถ หรือทำมันหาย ให้ใช้มือิถือโทรไปหาคนที่บ้านที่เก็บรีโมตสำรองไว้ ให้คนๆนั้นนำรีโมตมาจ่อที่หูโทรศัพท์ และเราก็นำมือถือของเราจ่อที่ข้างประตูหรือใกล้จุดรับสัญญาณรีโมต แล้วให้ทางนั้นกดรีโมตเพื่อเปิดรถ สัญญาณจากรีโมตจะส่งผ่านมือถือมาแล้วเปิดประตูรถได้

3.เมื่อแบ็ตเตอรี่มือถือคุณหมด ให้กด *3370# แล้วโทรออก เครื่องจะเรียกพลังสำรองออกมาใช้ในกรณีที่คุณต้องการโทรฉุกเฉิน

4.หลังเหตุระเบิดที่ลอนดอน ปี2005 คุณสามารถใช้มือถือของคุณโทรไปยังหมายเลขของศูนย์ฉุกเฉิน 112 ได้จากทุกแห่งทั่วโลก แม้ตัวเรื่องจะอยู่นอกพื้นที่บริการก็ตาม เพราะหมายเลขฉุกเฉินนี้ บริการเฉพาะในเขตยุโรปเท่านั้นครับ

ได้ดูมาจากรายการ america most want ช่อง true explore 3 ที่พูดถึงเรื่อง ข้อมูลต่างๆผ่านอีเมลที่ดูเหมือนเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในกรณีฉุกเฉินแต่แท้จริงมันไม่ใช่ และทางรายการก็ได้ทดลองให้เห็นกับตาว่าวิธีการเหล่านั้นไม่จริง ผมเคยเห็นอีเมลเรื่องเปิดรีโมตกันขโมยรถผ่านมือถือมาแล้วเช่นกัน

และมีอกหลายเรื่องที่หลายคนในนี้คงเคยอ่านเคยเจอผ่านเมล ซึงผมได้ดูจากรายการทีวีที่เกี่ยวกับการค้นหาความจริงเพื่อพิสูจน์เรื่องเล่าเหล่านี้ และต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องที่หลายคนคงเคยเจอผ่าน forward mail และพิสูจน์มาแล้วว่า ตอแหล เช่นกัน

-แก๊งค์ที่หลอกมอมยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จนสลบแล้วผ่าตัดขโมยไตนักท่องเที่ยคนนั้นไปขายในตลาดมืด และทิ้งให้นอนแช่อ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งในห้องพักโรงแรม เรื่องนี้ก็ไม่จริง เพราะการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ กร๊ปเลือดของตัวคนรับและเจ้าของจะต้องตรงกันและมีรายละเอียดปลีกย่อยทางการแพทย์พอสมควร จะอยู่ๆก็เอาไตอีกคนมาใส่ให้อีกคนเหมือนเอา RAM จากคอมฯอีกตัวไปใส่คอมอีกตัวไม่ได้ และเรื่องเล่านี้ก็มีการปรับเปลี่ยนหลายเวอร์ชั่น บางทีก็เริ่มว่า ผู้ชายไปหิ้วอีตัวจากข้างถนนแล้วพาเข้าโรงแรม และเจอเรื่องแบบเดียวกัน

-คนที่แอบอยู่ใต้ท้องรถแล้วคอยเชือดข้อเท้าของเหยื่อเพื่อฆ่าชิงทรัพย์ หรือฆ่าแล้วเอาอวัยวะไปขายในตลาดมืด รวมถึงเรื่อง ฆาตรกรหลังเบาะรถของผู้หญิง ที่ปรับเปลี่ยนหลายเวอร์ชั่น บ้างก็บอกว่า ผุ้หญิงคนหนึ่งขับรถไปเติมน้ำมัน แต่สักพักอยู่ๆพนักงานปั๊มก็มาเรียกให้ลงจากรถแล้วบอกว่าบัตรเครดิตที่คุณจ่ายมีปัญหา ให้เข้าไปในออฟฟิศเพื่อคุยโทรศัพท์กับบริษัทบัตรเครดิต พอลงจากรถแล้สวเข้าไป พนักงานปั๊มก็คว้าตัวผุ้หญิงแล้วชี้ให้ดูที่เบาะหลังรถ พบว่ามีคนแปลกหน้านั่งอยู่ ผู้หญิงคนนั้นตกใจมาก คนพวกนั้นเป็นแก๊งค์ที่ฆ่าคนเพื่อเอาอวัยวะไปขายในลาดมืด เรื่องเล่าประเภทแก๊งค์ที่ฆ่าคนเพื่อเอาอวัยวะไปขายนตลาดมืด โดยวิธีการแอบเพื่อจู่โจมเหยื่ออย่างไม่คาดคิดมีเยอะมาก โดยเพาะเรื่องเล่าผ่านทาง forward mail ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง

-หรือเรื่องเล่าประเภท นักกอล์ฟถูกจระเข้ฆ่าแล้วกินหายไปทั้งตัว ในสนามกอล์ฟที่มีบังเกอร์น้ำและมักมีจระเข้อาศัยอยู่บางครั้ง สนามกอล์ฟที่มีบังเกอร์น้ำบางแห่งมีจระเข้จริงๆแถวบังเกอร์นั้น แต่ไม่เคยมีรายงานว่ามีนักกอล์ฟถูกจระเข้กินทั้งตัวหรือทำร้ายจนตายแม้ตแน้อย เรื่องนี้ถูกforwardผ่านเมลมาหลายปีแล้ว

-หรือเรื่อง หญิงแก่ที่พาหมาไปอาบน้ำ แล้วอบแห้งในเตาไมโครเวฟด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ จนหมาตาย นี่ก็อีกเรื่องโกหกระดับคลาสสิคอีกเรื่องเช่นกันที่ถูกเล่ากันมาตั้งแต่เตาไมโครเวฟเริ่มราคาถูกพอที่คนทั่วไปจะหาซื้อมาใช้กันได้ บางเรื่องก็เปลี่ยนไปเป็นแมว หนูแฮมสเตอร์ก็มี

-กับเรื่อง ฆาตรกรไฟสูง(high-beam killer) ที่มักจะขับรถแล้วดับไฟหน้าตอนกลางคืน แล้วพอใครเปิดไฟสูงเตือน มันจะหักรถกลับมาไล่ตามฆ่าคุณ ด้วยจุดประสงค์ที่เปลี่ยนไปหลายเวอร์ชั่น

ผมเจอforward mailเรื่องประหลาดๆเยอะมาก บางอันดูแล้วถ้ามันเป็นจริงๆ คงเป็นข่าวดังระดับประเทศไปแล้ว บางทีภาพกระกอบที่เป็นไฟล์แนบก็ดูเหมือนใช้ photoshop ทำเอา กับเมลประเภทพบแมลงสาบในแก้วน้ำโรงหนังชื่อดัง ผลิตภัณฑ์พวกของใช้ใกล้ตัวที่มีปัญหารุนแรง หรือเมลประจานร้านอาหารหรือร้านค้าที่บริการด้วยคำพูดและกริยาแบบนักเลง บางอันก็ได้แต่อ่านแล้วถามว่า ทำไมมันไม่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ และบางทีก็อาจจะเป็นฝีมือของพนักงานระดับลูกกระจ๊อกของร้านค้าหรือบริษัทคู๋แข่ง หรือเรื่องรถมีปัญหาก็อาจจะมาจากคนที่เคยถูกยึดรถไปเพราะไม่มีเงินผอน แล้วมาทำforward mailว่ารถนั้นมีปัญหานู่นนี่ด้วยควมแค้น นี่ยังไม่รวมพวกอีเมลลูกโซ่จากสารพัดพระครูกับโฆษณาหลอกลวงต่างๆอีกนะ ต้องคอยลบกันไม่หวาดไม่ไหวเลยมีมากันแทบทุกวัน

เรื่องคลื่นยักษ์ถล่มสมุทรปราการ และเขื่อนศรีนครินทร์แตก ก็ยอดฮิตไม่แพ้กัน

ไอ้พวกที่มาขอเงินเด็กป่วย นั้นก็ไม่จริง Hotmail จะเก็บตังยิ่งแล้วใหญ่

แล้วเรื่องนี้ก็น่าจะมีเค้าว่า ตอแหล เรื่อง british airways เหยียดผิว โดยให้ผู้หญิงผิวขาวซึ่งย้ายจากชั้นประหยัดไปนั่งชั้น first class เพราะเธอบอกว่าคนข้างๆเป็นคนผิวดำ แอร์โฮสเตทและกัปตันก็อนุญาติเป็นกรณีพิเศษ...มันเป็นอีเมลภาอังกฤษแล้วแปลเป็นไทยอีกที ....หวังว่าคงไม่ใช่อดีตลูกจากของสายการบินนี้ที่ถูกไล่ออกเพราะทำผิดเอง หรือผุ้โดยสารที่ถูกสายการบินนี้ไม่ให้ขึ้นเครื่องเพราะไอ้ตัวผู้โดยสารเองไปก่อเรื่องอาละวาด..หรือเป็นการส่งมาจากพนักงานระดับลูกกระจ๊อกของสายการบินคู่แข่ง...กลัวแต่จะเป็นอย่างงี้เอานะสิครับ เพราะผมดูรายการข่าวสารจากต่างประเทศทางช่อง true x-zyte บ่อยๆอย่างพวก inside edition ถ้าเป็นจริงป่านนี้ดังจนออกรายการนี้หรือข่าวต่างประเทศของไทยไปนานแล้วครับ...

เรื่องดังสุดในรอบปีที่แล้วก็ ภาพสุดท้ายใน cabin โดยสารของ Airfrance เที่ยวบินที่ 447 ที่พิสูจน์แล้วว่ามาจากซีรี่ย์ฝรั่งเรื่อง Lost, แล้วก็เรื่องภัยสุภาพที่ว่า น้ำอัดลมใช้ล้างห้องน้ำได้ นี่ก็ตอแหลเช่นกัน ลองเอาไปล้างดูสิ พื้นเหนียวแน่ๆ

พวกนี้ว่างมากหรือไงถึงได้เที่ยวชอบปล่อยข่าวพวกนี้ไปทั่วโลกออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

LEGO CITY ชุดล่าสุดที่ซื้อในรอบ 4 เดือน





เพิ่งซื้อจาก Central Plaza ขอนแก่น (ในส่วนที่เป็น Robinson)

ในราคา 160 บาท จากปกติ 195 บาท

เห็นว่าเริ่มเข้าขั้นหายากแล้วชุดนี้

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

Electric Dream รายการช่อง History ที่คนที่ที่บ้านติด True Visons ควรดู











Electric Dream เป็นซี่รี่ย์รายการโทรทัศน์แนว reality show ของทางสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ ร่วมกับ Open University เริ่มออกอากาศที่อังกฤษเมื่อเดือนกันยายน 2009 แต่เพิ่งเข้ามาฉายในไทยเมื่อ มกราคม 2010 ตอนนี้เอาฉาย re-run อีกครั้ง เวลา 23.00น. ของทุกวันพฤหัสบดี

โดยอาสาสมัครคือ ครอบครัวยุคใหม่แห่งปี 2009 ประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกๆอีก4คน ที่ใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่ทั่วไป ที่มีคอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โทรศัพท์มือถือ ดูโทรทัศน์จากรายการผ่านดาวเทียม ฟังเพลงด้วย iPod อยู่ในบ้านแบบห้องชุดที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย

พวกเขาทั้งหมดจะต้องย้อนกลับไปจำลองการใช้ชีวิตในช่วงยุค 70s, 80s, 90s โดยวัตถุประสงค์ของรายการนี้คือการศึกษาเรื่องผลกระทบต่อครอบครัวจากการเปลี่ยแปลงทางเทคโนโลยี ในหลายๆด้านอย่างในเรื่องของมุมมองทางความคิดและการปฎิสัมพันทางสังคม (ที่แม้จะเป็นเรื่องของฝรั่งมังค่า แต่ผมว่าก็น่าจะใช้เป็นบรรทัดฐานเทียบกับสังคมไทยหรือในประเทศอื่นๆได้) เวลา1วันที่ผ่านไป เท่ากับ1ปีในแต่ละยุค โดยทั้งครอบครัวนี้ จะต้องตัดขาดจากเทคโนโลยีที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมีใช้ได้แค่เทคโนโลยีตามยุคสมัยของช่วงนั้น (เช่น เครื่องเล่นวีดีโอ ในปี 1981 และ home computer ในปี 1983) แม้แต่สไตลืการตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า รวมถึงรถยนต์ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นของยุคนั้นด้วย

แต่ไม่ได้เหมือนกับรายการ reality ทั่วไป ทุกคนในครอบครัวยังคงปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ พ่อไปทำงาน เด็กๆไปโรงเรียน มีเพื่อนๆมาเยี่ยม รวมถึง dinner parties

โดยมีทีมงานทางเทคนิคคอยช่วยในการจัดหาเทคโนโลยีแนว retro ตามแต่ละยุคสมัยและทำให้มันใช้งานได้ และส่งมันให้กับครอบครัวนี้ตามแต่ละช่วงเวลาของปี ประกอบด้วย Gia Milinoxich นักเขียนด้านเทคโนโลยีและมีประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์มายาวนาน, Tom Wrigglesworth นักแสดงตลกและผู้หลงใหลในเทคโนโลยี เกี่ยวกับอุปกรณ์ด้านการสื่อสารและ audi-visual , และ Dr.Ben Highmore นักสังคมวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีภายในบ้าน 3คนผู้เป็นเสมือน call center ของครอบครัวนี้ตลอดช่วงรายการ เมื่อยามที่ครอบครัวนี้สงสัยเรื่องใด หรืออุปกรณไฟฟ้าสักชิ้นเกิดเสียขึ้นมา

และในแต่ละยุค พวกเขาจะต้องทำสิ่งเป็นเสมือน quest ก่อนจบยุค ในลักษณะของการจัดปาร์ตี้แล้วชวนเพื่อนบ้านมาร่วม โดยเป็นปาร์ตี้ที่แสดงถึงเทคโนโลยีต่างๆในยุคนั้นที่พกวเขาได้สัมผัสในรายการ อย่างตอนช่วงยุค 70s ก็ต้องใช้กล้อง 35มม. ทำภาพสไลด์ฉายให้เพื่อนที่มาร่วมปาร์ตี้ดู พร้อมทั้งทำอัลบั้มรวมเพลงจากเครื่อง music center ในยุค80 ก็ได้ทำมิวสิควีดีดอสไตล์ home made ด้วยกล้องวีดีโอขนาดเทอะทะ ใส่เพลงประกอบด้วยเพลงป๊อบในยุคนั้นกับบบรเลงเพลงจาก keyboard และในยุค 90s ก็ได้จัด millennium party จำลองปาร์ตี้ปีใหม่ตอนช่วงเข้าปี 2000

ระหว่างช่วงเวลาในแต่ละยุคสมัยยั้น รายการโทรทัศน์ที่ดู ก็เป็นรายการของยุคสมัยเวลานั้นด้วย รวมถึงรายการข่าวและเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การประท้วงหยุดงานและตัดไฟฟ้าในช่วงยุค 70s เหมือนเป้นการได้เรียนประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเขาไปในตัว หรือแม้แต่ตอนยุค 90s ที่ทางเทคนิคต่อ internet มาให้ครอบครังนี้ได้ใช้ ก็ปรับความเร็วให้มันช้าลงเท่ากับของในยุคสมัยนั้น รวมถึงเว็บไซต์ที่มีให้เข้าใช้ได้ ก็เป็นของยุคนั้นด้วย

ผมได้ดูรายการนี้ตั้งแต่ตอนมันมาฉายครั้งแรกแล้ว แต่ดูอีกก็ยังสนุกอยู่ สิ่งที่ผมชอบรายการนี้ก็คือ นอกจากได้เห็นเทคโนโลยีแนว retro แล้ว ยังได้เห็นถึงสิ่งที่ทางรายการนำเสนออย่างแท้จริง คือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่อคนในครอบครัว จากคำพูดของพ่อแม่และลูกๆที่รู้สึกต่อสิ่งที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน อย่างเช่น

ตอนช่วงเริ่มรายการ Georgie ผู้เป็นแม่ พุดออกมาว่า “ฉันว่ามันเป้นสิ่งที่ดีในยุค 70s ที่ทุกคนมาทานอาหารร่วมกัน ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกันที่ห้องรับแขก มากกว่าแต่ก่อน”

ตอนช่วงยุค 70s ทุกคนในครอบครัวได้รับจักรยานทรงช็อปเปอร์จากทีมเทคนิค Hamish หนึ่งในลูกทั้ง4ของครอบครัวได้ขี่จักรยานออกไปในเมืองโดยไม่ขออนุญาตและกลับบ้านมาตอน 19.30น. เลยโดนผุ้เป้นแม่ลงโทษให้อยุ่แต่ในห้องไม่ให้กินอาหารเย็น หนึ่งในประโยคของผู้เป็นแม่ที่ผมจำได้คือ “ถ้าเป็นปี 2009 ฉันคงไม่ลงโทษลูกด้วยการไล่เขาขึ้นไปบนห้องแน่ๆเพราะบนนั้นเขามีทั้งคอมพิวเตอร์ วีดีโอเกม โทรทัศน์”

ตอนช่วงยุค 90s ที่ทีมเทคนิคส่ง จานดาวเทียมพร้อมเครื่องรับสัญญาณมาให้ หนึ่งในคำพูดของผู้เป็นแม่ที่พูดออกมาคือ “ไม่รู้สินะ ฉันว่าการติดมันไว้หน้าบ้าน มันเหมือนกับสัญลักษณ์ที่บอกให้คนผ่านไปผ่านมารู้ว่า ฉันเป้นพวกติดทีวีขนาดหนัก” เป็นทัศนิคติอีกมุมมองต่อจานดาวเทียมที่แปลกมาก

และเหตุผลที่ทำไมผมถึงเอามาแนะนำว่า ทำไมทุกคนในที่นี้ ที่ที่บ้านติด True Visions น่าจะกดไปดู แน่นอนครับว่า ถ้ามันมีเครื่องใช้ไฟฟ้าแนว retro อย่างเครื่องเล่นจานเสียง โทรทัศน์ขาวดำ คอมพิวเตอร์ laptop ยุคบุกเบิก อยู่ด้วยแล้ว เครื่องเล่นวีดีโอเกมยุคเก่า ก็ต้องมีมาให้เห็นด้วยเช่นกัน มีมาเยอะเลยครับ เครื่อง Pong ก็มี home computer ยุคเก่าๆก็เช่นกัน

และนับถือทีมเทคนิคของรายการนี้จริงๆครับ ทั้งเรื่องการหาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ การหาสำเนารายการโทรทัศน์ของแต่ละสมัยมาฉายให้ครอบครัวนี้ดูทางทีวีตลอดช่วงรายการทั้ง 3 ตอน การตกแต่งบ้านให้เข้ากับแต่ละยุคซึ่งก็เป็นงานขนานใหญ่ อย่างในช่วงยุค70s ที่บ้านในอังกฤษส่วนใหญ่ยังไม่มีเครื่องทำความร้อนแบบท่อ ไม่มีห้องแบบห้องชุด (พวกห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัว) หรือครัวกว้างๆ ก็ต้องจัดการปิดระบบทำความร้อนทั้งบ้าน กั้นห้องครัวให้เล็กลง และกั้นประตูห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ของพ่อแม่ ไหนจะ wall pares ทั้งบ้านอีก

เป็นรายการที่ดีครับ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้านเทคโนโลยีภายในบ้าน ผลกระทบต่อครอบครัวจากการเข้ามาของเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัย ในเห็นเครื่องใช้ไฟฟ้าแนว retro ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หลายๆอย่างที่เป็นแง่ความรู้ ก้เอามาใช้เทียบเคียงกับสังคมไทยได้โดยตรง และดุแล้วก็นึกถึงสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเราเมื่อครั้งก่อน อย่างในตอนของยุค90s นี่โดนใจอย่างแรง การมาถึงของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เพจเจอร์ และโทรศัพท์มือถือ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ คอมพิวเตอร์ที่ราคาถูกลงและมีใช้กันแทบทุกบ้าน การมาถึงของอินเตอร์เน็ต การเริ่มต้น text massage และเครื่องเล่น mp3 ในช่วงตอนปลายของยุค เหมือนชีวิตของพวกเราทุกคนเป๊ะเลยนะ

อันนี้ก็ link ของรายการนี้ครับ เป็นเว็บไซต์ของทาง BBC

www.bbc.co.uk/electricdreams/about.shtml

และมีคลิปรายการนี้ให้ดูด้วยเช่นกันใน Youtube ไป search หากันเองนะครับ

เกือบลืม มี time-tunnel อันเป็นหนึ่งในลุกเล่นของเว็บไซต์ให้เข้าไปดูประวัติศาสตร์พร้อมกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเทคโนโลยีในแตละยุคสมัย พร้อมส่วนแสดงความคิดเห้น มี wall paper ให้ดหลดกันด้วย

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

Motorolla Dynatac ความภาคภูมิใจของผม ที่ต้องแลกกับ...






ซื้อมาจาก ร้าน D-Mart Phone ตลาดปัฐวิกรณ์ ราคา 7000 บาท อยากได้โทรสัพท์แบบนี้มาใช้ตั้งนานแล้ว ภูมิใจมาก

แต่บนความภุมิใจและดีใจที่ฝันของผมเป็นจริงนั้น มูลค่า 7000 บาทที่จ่ายไป 3000บาทมาจากเงินของพ่อแม่ผม และ 4000 บาทของผม คือเงินเก็บก้อนสุดท้ายของผม
แม่ผมกับพ่อผมยังตกใจเลยว่า ทำไมแพงจัง ตอนแรกผมกะจะซื้อ Siemens อีกเครื่อง ที่ราคาแค่ 2000 แต่พ่อแม่ผมเห้นว่า ผมอยากได้เจ้า dynatac นี้มาก เลยให้ยืมก่อน พอ่แม่ผมเองก็ไม่ห้ามอะไรในการที่ผมสะสมของพวกนี้ รวมถึงเกมเก่าด้วย และก็ไม่ได้ห้ามในการใช้ชีวิตในแบบที่ผมอยากจะเป็น แต่ก็ไม่ได้สปอยประเภทอยากได้อะไรตามใจให้ทุกอย่างแบบไร้เหตุผล
แต่ผมสัมผัสความรู้สึกของพ่อกับแม่ผมได้เลยว่า ดุจะไม่ได้รู้สึกอะไรในแง่บวกสักเท่าไหร่กับการจ่ายเงินไปกับโทรศัพท์เครื่องนี้ของผม แม้พวกท่านจะไม่ได้ว่าหรือแสดงสีหน้าอะไรโดยตรงก็ตาม และพ่อแม่ผมเองก็มีแผนจะพาไปพักผ่อนที่สิงค์โปร์ แต่ถูกเลื่อนมาหลายรอบ เพราะปัญหาเรื่องวันหยุดและความไพร้อมเรื่องเงินในบางช่วง
และตอนนี้ ผมไม่มีงานทำ สิ่งเดียวที่ผมทำหลังจากรู้ว่าเรียนจบคือ นอนอยู่บ้าน ดูทีวี เล่นเกม ทำงานบ้านนิดๆหน่อยๆ พ่อแม่ทิ้งเงินไว้ให้ซื้อข้าวเที่ยง และนิสัยส่วนตัวของผม ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับคำว่า Goodman อันเป็น username ของผมเลยด้วยซ้ำ อย่างหนึ่งก็คือ เรื่องคำพูดคำจาของผม ที่เป็นแบบ ปากไม่มีหูรูด เหมือนมี หางดาบ ปักกิ่ง ร๊อดไว้เลอร์ อยู่ในปาก แม้ผ่านการบวชมา 18 วันก็ยังคงไม่ทิ้งนิสัยเดิม ตอนสมัยยังเรียนอยู่ เรื่องเรียนก็ขี้เกียจอีดกต่างหาก (โชคดีที่ผมสามารถเรียนจบตามกำหนดได้)
ต่างแค่ เพราะผมไม่เคยไปข้องเกี่ยวกับเหล้า บุหรี่ ยาเสพย์ติดผิดกฎหมาย แก๊งอันธพาล การพนัน และสิ่งมอมเมาที่จะนำพาไปสู่ความวิบัติและคุกตารางทั้งหลาย ทำให้ผมยังคงมาอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะใช้ชีวิตและมีพฤติกรรมทางวาจาที่ไม่ได้สร้างความปลาบปลื้มให้กับครอบครัวเลยก็ตาม ตอนเรียนอยู่ก็แทบไม่ยอมคบเพื่อนฝูงเลยด้วยซ้ำ ปรับตัวเข้ากับคนวัยเดียวกันไม่ค่อยได้ ตอนพ่อแม่ส่งไปให้เรียนครูก็ขอลาออกกลางคันก่อนช่วงจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนเพราะผมไม่ได้ชอบเรียนด้านนี้ ไปหย่อนใบสมัครงานทิ้งไว้หลายที่ก็ไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงาน เพราะยังไม่ผ่านเรื่องเกณฑ์ทหาร
และเงินเก็บที่ผมใช้มาตลอดนั้น รวมถึงที่เอามาซื้อเกมเก่า ก็มาจากพ่อแม่ผมเช่นกัน ที่ให้เป็นค่าใช้นู่นนี่แล้วสะสมมาเรื่อยๆ กับเงินขวัญถุงบัณฑิตใหม่จากยายผมอีก 7000 ที่ได้มาเมื่อต้นปี ซึ่งตอนนี้เหลือไม่พอแม้แต่จะซื้อตลับ famicom สักตลับด้วยซ้ำ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เคยหาเงินเองได้ก็ตอนที่ไปเรียน โครงการต้นกล้าอาชีพ ได้มา 4000 กว่าบาท ก่อนหน้า3ปีนี้ก็เคยหาเงินได้ กว่า 10000 บาท จากการขายของทางอินเตอร์เน็ต แต่ตอนนี้ขายไม่ออกแล้ว และเงินนั่นก็ถูกใช้ไปจนเกลี้ยงแล้ว ในชีวิตนี้มีของมีค่าเพียง 2 สิ่ง ที่ผมเคยได้ให้พ่อกับแม่ผมคือ เครื่องเล่น DVD และ นาฬิกาข้อมือ ซึ่งมันก็เป็นของที่ผมใช้ตั้งแต่ตอนสมัยเรียน แต่สภาพยังดีอยู่
และการเข้ากรุงเทพฯครั้งนี้ ก็มีเหตุผลเดียวคือ ตัวผมเอง ที่อยากมารับของที่สั่งไว้กับมาเที่ยวตลาดปัฐฯเพื่อซื้อมือถือเครื่องนี้ แถมยังต้องมาอารมณ์บูดและเสียเวลาเพราะรถติด หลงทาง และอากาศที่อบอ้าวอีกด้วย (ต้นเหตุก็ ผมนี่แหล่ะ)
ไม่ใช่แค่มือถือเครื่องนี้ ทั้งคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้อยู่ทุกวัน ค่าใช้ใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวัน ก็มาจากเงินพ่อแม่ผมทั้งนั้น ชีวิตผมก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องใดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับรวยล้นฟ้า
วันนี้เลยรู้สึก ดีใจปนรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ตอนขากลับพ่อแม่ผมก็แวะถ่ายรูปกันที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพราะพ่อผมเป็นคนชอบถ่ายรูป (ตั้งแต่ซื้อ Canon 450D กับอุปกรณ์เสริมอีกหลายรายการมา ก็ขยันถ่ายรูปแบบสุดๆ) อย่างน้อยพอ่แม่ผมก็ได้ประโยชน์บ้างจากการถ่อสังขารมาไกลถึงนี่ หมดค่าน้ำมัน ค่าLPGไปเกือบ 2000 และต้องรีบกลับไปทำงานวันพรุ่งนี้อีก และตอนอยู่ที่ตลาดปัฐฯ แม่ผมก็ได้กางเกงสวยถูกใจมาตัวหนึ่ง และสถานที่ท่องเที่ยวประเภทเขื่อน ธรรมชาติ พ่อแม่ผมชอบอยู่แล้ว
ตอนนี้เงินเก้บก้เกลี้ยง คงอีกนานกว่าจะได้เห็น lego และ เกมเก่า เมษายนที่จะถึงนี้ ก็เตรียมตัวไป รับใช้ชาติ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน หลังจากที่ผ่อนผันมานานตั้งแต่ตอนเรียน และใช้ชีวิตแบบ ทิ้งขว้างไปวันๆ มานาน 1 ปี
ระหว่างที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้นั้น คือช่วงขากลับร้อยเอ็ด พ่อผมกำลังขับรถอยู่ แม่ผมนั่งหน้า
ก่อนไปเกณฑ์ทหาร อย่างน้อยต้องหาเงินมาใช้ที่ผมเพิ่งยืมพ่อไปในวันนี้ และอย่างน้อยชีวิตผมก็โชคดีกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หรือ บ้านจะอยู่
และขอบคุณ thairetro ที่เอื้อเฟื้อเนื้อที่ในเว็บบอร์ดให้ผมได้ตั้งกระทู้ แม้ 3 ใน 4 ของกระทู้ที่ตั้ง จะไม่เกี่ยวกับเกมเลยก็ตาม

จบดีกว่า ชักจะกลายเป็นรายการ ใครทำผิดยกมือขึ้น เข้าไปทุกที