วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

โฆษณารณรงค์งดสูบบุหรี่ที่ดีที่สุดที่เคยดูมา

โฆษณาชุดนี้เป็นของต่างประเทศครับ เก่ามากแล้ว เป็นของ quit line

http://www.youtube.com/watch?v=0yf9ee6t67o

ผมว่าทาง สสส น่าจะศึกษาแนวทางจากโฆษณาชุดนี้นะครับ เขาทำออกมาได้ดูดีและชวนให้ใครก็ตามที่กำลังสูบบุหรี่อยุ่ โดยเฉพาะคุณพ่อที่มีครอบครัวแล้ว อยากหยุดสูบบุหรี่ทันที

หลังจากข้อความส่วนนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้อง comment ครับ

ไม่ใช่ทำแต่โฆษณาประเภท แช่งชักหักกระดูก ทำยังกับว่าใครที่สูบบุหรี่นี่ ดูเลวยังกับเขาเพิ่งไปขโมยรถยนต์หรืองัดเครื่องATMเพื่อขโมยเงินซะงั้น ไม่ว่าจะโฆษณาชุดใดก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องให้เลิกบุหรี่ที่ทำโดยฝีมือคนไทยในรอบ 2 ปีหลังมานี้ ทำได้ ห่วย มากๆครับ มีแต่ใช้ความรู้สึกในเชิงสาปแช่งมากกว่าความรู้สึกเชิงสงสารแบบโฆษณาที่ผมยกตัวอย่างมาผมไม่ใช่คนสูบบุหรี่ ไม่คิดที่จะสูบ และก็ต่อต้านการสูบบุหรี่ แต่ผมถือว่า ตราบใดที่คนคนั้น ไม่ได้เอาเงินเราไปซื้อบุหรี่ ไม่ได้สูบบุหรี่ในสถานที่ราชการ ไม่ได้สูบบุหรี่บนรถโดยสารหรือยานพาหนะที่เป้นส่วนรวม ไม่ได้สูบบุหรี่ในห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ ไม่ได้สูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันหรือสถานที่ใดก็ตามที่มีสารไวไฟ ไม่ได้สูบในสถานที่แบบindoorใดๆก็ตามที่มีการห้ามสูบบุหรี่ ไม่ได้มานั่งสูบข้างๆเราโดยที่เราเป็นฝ่ายนั่งอยูก่อนนานแล้ว ไม่ได้มาสูบในบ้านเราหรือที่ที่เราอยู่ และถ้าที่ที่คนคนนั้นสูบบุหรี่ เป็นที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ เป็นบ้านส่วนตัวหรือรถยนต์ส่วนตัวของเขา ผมถือว่าเป็นสิทธิของเขาครับ โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปว่าหรือสาปแช่งเขา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆก็ตาม

-------------------------------------------------------------------------------
โฆษณาประหยัดน้ำมันก็เหมือนกันครับ ที่ทำโดยฝีมือคนไทย ก้มีแต่ออกแนว ไม่สร้างสรรค์ ดีแต่เอาความสะใจกับเอากฎหมู่ เหนือความถูกต้องจำโฆษณาประหยัดน้ำมันที่ออกมาช่วงปี พ.ศ. 2548 ได้มั๊ยครับ ที่มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เป็น presenter โดยจะขอยกตัวอย่างโฆษณา 2 ชุด ที่ไม่เข้าท่าอย่างมากชุดแรก เปิดตัวเป็นคนขับรถรับจ้างคนหนึ่งเติมน้ำมัยเสร็จ แล้วเปิดกระเป๋าตังค์ดู สงสัยว่าเงินหายไปไหน อยู่ๆก็มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เข้ามาแล้วพูดว่า อยากรุ้มั๊ยครับว่าเงินหายไปไหน แล้วชี้ไปยังสี่แยกข้างหลังที่อยุ่ใกล้ๆกันเป้นภาพของรถกระบะยกสูงแบบรถ big foot คันหนึ่ง จอดติดไฟแดง แต่งท่อไอเสียรอบคับเหมือนโรงสีข้าว แถมคนขับยังเหยียบคันเร่งเพื่อเบิ้ลเครื่องอยู่กับที่แบบไม่เสียดายน้ำมัน (มีฉากจับหน้าคนขับที่เบิ้ลเครื่องอย่างสะใจ) เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน ก้มาสาถยายาเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในขณะคนขับรถรับจ้างเดินไปที่รถกระบะคันนั้น ปีนขึ้นไปเปิดประตู แล้วกระทืบคนชับรถกระบะดดยเอามือรั้งตัวไว้กับขอบประตูรถผมรู้ครับ การที่คนขับรถกระบะคนนั้น เร่งเครื่องอยุ่กับที่แบบไร้เหตุผล หรือการที่เขาแต่งรถแบบเกินความจำเป็น มันเป้นพฤติกรรมการใช้น้ำมันที่สิ้นเปลืองและล้างผลาญ แต่ไอ้การที่ไปกระทืบคนเนี่ย เป้นพฤติกรรมที่น่าเอาเป็นแบบอย่างหรือเป็นพฤติกรรมที่ดี อย่างนั้นหรือครับ
---------------------------------------------------------------------------
มาชุดที่สอง เป้นชุดที่มีหญิงแก่ไฮโซมาดคุณนายคนหนึ่ง จอดรถเบ็นซ์แล้วพูดว่าอยากประหยัดน้ำมันให้ได้มากกว่านี้ แล้วก็มี เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน เข้ามาพูดว่า ช่วยเปิดกระโปรงท้ายรถด้วยครับ พอเปิดมาก็มีของเต็มเลยครับ ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของอื่นๆอีกเพียบ อยุ่ๆ เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน ก็เป่านกหวีดยาว แล้วพวกชาวบ้านแถวนั้น ก้เข้ามากรูกันเอาของไปจนหมดท้ายรถ แล้วก็พูดถึงเรื่องบรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมันโอเคครับ บรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมัน (น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 40 ซีซี ต่อ กิโลเมตร) แต่ไอ้พฤติกรรมที่ผมเห็นนั้น บ้านผมเขาเรียกว่า การราวทรัพย์แบบซึ่งๆหน้าครับ ผมเคยพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่ผมเรียนวิชา criminology ฟังเมื่อตอนเรียนอยุ่ปี3 ท่านก็ยังคิดเหมือนผมเลยครับ ถ้าไม่นับพวก พ่อค้ารถกระบะ เซลล์แมน ที่จำเป็นต้องบรรทุกของเต็มรถตลอดเวลานั้น หลายคนเขามีรูปแบบการดำรงชีวิตหรือรุปแบบของการทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริต ที่ต้องบรรทุกข้าวของเต็มรถ ทั้งเสื้อผ้า และสารพัดสรรพสิ่ง บางคนต้องไปงานนู่นนี่บ่อยๆ เลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ หรือต้องพกพาข้าวของบางอย่างติดรถด้วยเสมอเพราะใช้บ่อยเมื่ออยู่นอกบ้าน ซึ่งการที่เขาเหล่านี้ถ้าจะเลือกวิธีเอาของทิ้งไว้ที่บ้าน นอกจากจะเสียเวลาแล้ว การขับรถกลับไปเอาอีกรอบ อาจจะเปลืองน้ำมันยิ่งกว่าด้วยครับ

-----------------------------------------------------------------------
คราวนี้มาโฆษณาตัวที่3 เป็นโฆษณาประหยัดน้ำมันเช่นกัน แต่คนละชุดกับ2ตัวแรก ครั้งนี้เรื่องไม่เข้าท่ามีนิดเดียว แต่มีการแฝงข้อความที่ชวนเข้าใจผิดได้เป็นเรื่องของอาเสี่ยที่ใช้น้ำมันอย่างฟุ่มเฟือยคนหนึ่ง ที่สั่งให้คนขับรถเร่งเครื่องให้สุดๆ คนชับเตือนก็ไม่ฟัง แล้วก็ไม่แคร์ว่าจะเปลืองแค่ไหน รถที่เขาใช้คือ Mercedes-Benz รหัสตัวถัง W-124 (ที่เราเรียกกันว่า รุ่นโลงจำปา) พอมาถึงปั๊ใน้ำมัน ถูกคนขับรถเบิร์ดกะโหลกแล้วพูดเรื่องการใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่า แถมยังเจอเด็กปั๊มสมทบอีกตัดมาฉากสุดท้าย เขาก็เปลี่ยนมาใช้รถ Austin Mini (ผมหมายถึง Mini รุ่นเก่านะครับ ไม่ใช่ Mini สมัยใหม่แบบที่เราเห็นกัน) แล้วอาเสี่ยนั่นก็พูดว่า ใช้รถเล็กๆก็ได้แค่นี้

ก็อีกนั่นแหล่ะครับ การใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ที่การตบหัวคนนี่ เป้นพฤติกรรมของสุภาพชนหรือเปล่าครับแล้วขอพูดถึงเรื่องรถยนต์ทั้ง 2 คันที่ถูกยกมากล่าวในนี้ด้วย แล้วบอกว่า ใช้รถเล็กแบบนั้นประหยัดกว่า ถ้ารถเล็กที่นำมาเข้าฉากนั้น เป็นรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ (หรือสมัยเดียวกับ Benz โลงจำปาคันนั้น) ก็จะไม่น่าตะขิดตะขวงใจหรอกครับ แต่มีอะไรที่อยากบอกสักหน่อยนะครับ ตามประสาคนที่รู้เรื่องรถนต์มาพอควร (แม้จะไม่เคยขับเจ้ารถ 2 คันนั้นก็ตาม และก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์Mercedes-Benz รายใดด้วย)ยอมรับครับว่า Austin Mini คือรถยนต์ที่ถุกสร้างมาเพื่อการประหยัดน้ำมันในช่วงยุค 60 และมันก็ทำได้จริงตามคำโฆษณาและเป้นรถดีในยุคนั้น แต่ นั่นมันสมัยนั้นครับ

สมัยนี้ ใครที่จะเล่น Austin Mini นอกจากจะต้องมีเงินค่าซื้อรถแล้ว ยังต้องใจรักจริงๆ รู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกการซ่อมรถยนต์บ้างสักเล็กน้อย (ไม่ใช่แบบที่ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขับกับเติมน้ำมัน) และรถคันนี้ก็เหมือนกับ Volkswagen Beetle รุ่นแรก ถ้าจะซื้อควรซื้อในสภาพที่ผ่านการบูรณะมาแล้ว ถ้าซื้อแบบโทรมๆมาบูรณะเอง งบประมารบานปลายแน่ครับและเจ้ารถคันนี้

อะไหล่บางชิ้นนั้น ไม่ว่าจะเครื่องยนตืหรือตัวถัง ค่อนข้างหายากครับ เผลอๆแพงด้วย จะซ่อมบำรุงทีก้ต้องหาอู่สถานเดียว (ไม่ได้มีศูนย์แบบรถใหม่ แหงหล่ะมันเป้นรถเก่าตั้ง 40 ปีแล้วนี่) อู่นี่ก้ต้องดูดีๆอีกว่ามันจะไม่โขกค่าซ่อมเรา (โดยเอาข้ออ้างว่า นี่รถเก่าคลาสสิคนะ อะไหล่บางชิ้นมันหายาก) ในขณะที่เจ้า Mercedes-Benz W-124 นั้น ที่แม้จะเก่า แต่ซ่อมได้ทั้งในศูนย์บริการของmercedes-Benz อะไหล่ในเซียงกงก็มีเยอะมาก (จนเอามาประกอบได้อีกหลายคัน)

แม้เจ้า W-124 คันนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น economy car หรือเป็นเจ้าหนูประหยัดน้ำมัน แต่มันก็ผลิตโดยใช้วัสดุที่สามารถนำไป recycle เพื่อผลิตเป็นอย่างอื่นใหม่ได้อีกแทบจะทั้งตัวรถทั้งภายนอกภายใน ถ้ารถ Benz คันนี้หมดสภาพความเป็นรถไปแล้ว (ไม่ว่าจะจากอายุการใช้งานหรืออุบัติเหตุ) และมันยังมี คาตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ ไว้กรองไอเสียอีกด้วย ซึ่งปล่อยมลพิษออกมาคงน้อยกว่าเจ้าหนู Autin Mini ที่ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ (เพราะเกิดในคนละยุคสมัย)
และเหลือเชื่อครับ mercedes-Benz W-124 ที่ใหญ่เทอะทะ แต่ค่าพลศาสตร์อากาศ หรือ ค่า Cd แค่ 0.31 เท่านั้น ในขณะที่ Austin ๋Metro รถเล็กที่ผลิตในยุคเดียวกับเจ้า W-124 มีค่า Cd สูงถึง 0.41 ดูเหมือนการมีขนาดใหญ่กว่า ไม่ได้แปลว่าลู่ลมน้อยกว่า mercedes-Benz นี่เขาเก่งดีนะ (หลักฐาน อยุ่ในลิงค์ข้างล่างนี่ครับ)

http://www.bentleypublishers.com/isbn/9780837602301/9780837602301/gallery-618-9.htmlhttp://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้http://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้

http://74.125.153.132/search?q=cache:WkUejWpTBRYJ:www.uniquecarsandparts.com.au/car_info_austin_mini_metro.htm+austin+mini+aerodynamic&

Mercedes-Bezn W-124 เติม น้ำมันแกสโซฮอล์ล95 ได้สบาย ในขณะที่ Austin Mini นั้น อย่างน้อยๆต้อง เบนซิน91ซึ่งราคาสูงกว่า และปั๊มShell เริ่มจะไม่เอามาขายแล้ว (Shell แถวโคราชมีแต่แกสโซฮอล์ลกับดีเซลเท่านั้นครับ ไม่มีเบนซิน91อีกแล้ว)ยิ่ง W-124 รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้น ใช้น้ำมันดีเซลประเภท biodiesel ได้สบายมาก (แม้จะเป็นแบบที่ความเข้มข้นมากกว่า B-5 ก็ตาม)ดัดแปลงเอามา ติดแก๊ส ก็ง่ายด้วยนะครับ

--------------------------------------------------------------------------
พักจากเรื่องประหยัดน้ำมันไปแล้ว คราวนี้ก้มี โฆษณารณรงค์ที่ทำออกมาแบบไม่เข้าท่าอีกชุด ที่แม้แต่นิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ (เป้นนิจยสารของไทย) เล่มหนึ่ง ยังวิจารณืว่าไม่เข้าท่าเลยครับ

เป็นโฆษณารณรงค์ให้คนรักการอ่าน โดยมี2ชุด ชุดแรก มีสถานที่เป้นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ๆก็มาอ่าน วิธีการใช้โทรศัพท์สาธารณะด้วยเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง แล้วยังอ่านประกาสรับสมัครงานที่แปะอยู่บนเสาใกล้ๆกันด้วยเสียงดัง ทามกลางสายตาผุ้คนที่หันมามองอย่างไม่ขาดสาย

ชุดที่ 2 สถานที่เดิม แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เอาหนังสือพิมพ์มานอนอ่านด้วยเสียงดังแบบเดียวกัน ผู้คนก็หันมามองเช่นเดิมทั้งสองชุด

มีคำพุดจากเสียงบรรยายมาว่า เห็นมั๊ยครับ ว่าการอ่านทำให้คุณเป็นคน่าสนใจแค่ไหน

จำนิตยสารที่ผมกล่าวในตอนแรกได้มั๊ยครับ คนเขียนพูดออกมาโดยจับใจความคร่าวๆได้ว่า "ไม่รู้คนคิดโฆษณานี้ ถุก ผี..่าซาตาน ตนใดมันสิงสู่ ถ้าให้ทำแบบนี้ แทนที่จะทำให้เราเป้นคนน่าสนใจมากขึ้นจากการอ่าน กลับทำให้เราเป็นตัวประลาดมากกว่าน่าสนใจ พาลทำให้ พวกรักการอ่านดูกลายเป้นตัวประหลาดไป"

ผมเองก็เห้นด้วยกับความคิดของคนเขียนบทวิจารณ์นี้ครับ ว่าเรื่องดีๆที่ควรจะรณรงค์ พอมาถ่ายทอดแบบผิดวิธีก็กลายเป้นดูไม่ดี ราวกับคนทำโฆษณาคิดแค่เอาให้คนจำง่ายอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงแง่มุมอื่นบ้าง

นักทำโฆษณาเมืองไทยเรื่องที่เกี่ยวกับการรณรงค์นั้น คงต้องทำการบ้านและมีการยกเครื่องทางความคิดกันสักหน่อยแล้วหล่ะครับ ไม่ใช่ทำแค่ว่า ให้มันสะใจกับให้มันติดตาคน เท่านั้น บางอย่างมันควรทำโดยคิดถึงกาละเทศะและอีกด้านของโฆษณาที่คิดจะทำสักหน่อย

ผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่ก็พอรู้บ้างตอนเรียนวิชาการตลาดตอนปี3 แต่อย่างที่ว่า มีเส้นกั้นบางๆที่ค่อนข้างะลเอียดอ่อน ในการทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะโฆษณา ละคร ภาพยนตร์ เพลง แม้แต่การนำเสนอข่าว และผมรู้ว่า ไม่มีนักสรรสร้างผลงานคนไหน จะทำให้ทุกคนชอบผลงานของตนได้ทุกคน

เหรียญมีสองด้าน แต่ละคนมีต่างมุมมอง และนี่คือ ด้านที่ผมพึงพอใจที่จะมองและนำเสนอ และมุมมองของผมที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน (เช่นเดียวกับที่ผมรักเดียวใจเดียวกับ Lego City โดยไม่คิดที่จะแตกไลน์)

กลับมาพูดถึงโฆษณาประเภทรณรงค์ของต่างประเทศต่อ มีอีกชุดหนึ่งที่ดูดี เป็นโฆษณารณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย ดดยตัวโฆษณา ให้เห็นภาพของรถยนต์คันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนค่อนข้างหนัก วิญญาณของคนในรถค่อยๆหลุดจากร่าง แต่มีอยู่ร่างหนึ่งที่วิญญาณไม่ยอมหลุด เพราะคนที่เป็นเจ้าของร่างนั้น ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แล้วเขาก็ฟื้นอีกครั้ง และเป็นคนเดียในรถคันนั้นที่รอดตาย ลิงค์ข้างล่างนี่เลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=nI9_BTm41MI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น