วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติของบริษัทวีดีโอเกม SEGA

เซก้า (อังกฤษ: Sega ; ญี่ปุ่น: セガ) เป็นบริษัทผลิตวิดีโอเกมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สัญชาติญี่ปุ่น เดิมทีเซก้าทำธุรกิจทั้งเกมคอนโซลและเกมอาเขต แต่หลังจาก ค.ศ. 2001 บริษัทได้หันมามุ่งผลิตซอฟต์แวร์เกมเพียงอย่างเดียว สำนักงานใหญ่ของเซก้าอยู่ที่เมืองโอตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่วนสำนักงานใหญ่ของเซก้าอเมริกาอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เซก้ายุโรปมีสำนักงานใหญ่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
บริษัทเซก้าก่อตั้งในปี ค.ศ. 1940 โดยในตอนแรกใช้ชื่อบริษัทว่า แสตนดาร์ดเกมส์(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เซอร์วิสเกมส์) ก่อตั้งในเกาะฮาวายประเทศสหรัฐอเมริกา[1] โดยมีเป้าหมายในการผลิตเครื่องเล่นแบบหยอดเหรียญสำหรับผ่อนคลายขายให้กองทัพ นำไปตั้งตามฐานทัพเพื่อให้ทหารได้หย่อนใจ ต่อมาบริษัทได้ย้ายที่ตั้งบริษัทไปตั้งที่ญี่ปุ่นในปี 1951 และจดทะเบียนในชื่อ "SErvice GAmes of Japan" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เซก้า"

ใน ปี 1954 นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้หนึ่งได้ก่อตั้งบริษัท "รอซเซน เอนเตอไพรซ์" ขึ้นในญี่ปุ่น โดยเป้นบริษัทส่งออกสินค้าทางศิลปะ ต่อมาทางบริษัทได้นำเข้าตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญเข้ามาในประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างคาดไม่ถึง ตู้ถ่ายรูปแบบยอดเหรียญกลายเป้นกระแสที่นิยมอย่าสูงในญี่ปุ่น บริษัทรอซเซนจึงตัดสินใจขยายกิจการโดยเริ่มนำเข้าตู้เกมส์แบบหยอดเหรียญเข้า มาทำตลาดด้วย

ในปี 1965 บริษัทเซอร์วิสเกมส์และบริษัทรอซเซนเอนเตอไพรซ์ก็ได้ควบรวมกิจการเข้าด้วย กัน กลายเป้นบริษัทใหม่ที่ชื่อ "เซก้า" ภายในปีเดียวกัน เซก้าได้นำเกมส์จำลองการขับเรือดำน้ำออกขาย ซึ่งกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

ใน ปี 1969 บริษัท กัลฟ์+เวสต์เทิร์น ได้เข้าซื้อบริษัทเซก้าได้สำเร็จ แต่ได้อนุญาตให้นายรอซเซนCEOคนเก่าของเซก้ายังคงตำแหน่งCEOของเซก้าต่อไป ภายใต้การบริหารของนายรอซเซน เซก้ากลายเป็นผู้ผลิตเกมส์รายใหญ่ ผลิตเกมส์ที่ได้รับความนิยมมากมาย

ในปี 1983 ตลาดวีดีโอเกมส์ซบเซาอย่างหนัก หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่มสลายของวีดีโอเกมส์" เซก้าได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนในที่สุดบริษัทกัลฟ์+เวสต์เทิร์นจึงได้ขายทรัพย์สินของเซก้าที่ตนถือ ครองอยู่ให้กับบริษัท"บอลลี"ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเกมส์พินบอลชั้นนำ ส่วนทรัพย์สินของเซก้าในญี่ปุ่น นายรอซเซนอดีตCEOได้ร่วมทุนกับนายฮายาโอะ นาคายาม่า เข้าซื้อทรัพย์สินของเซก้าในญี่ปุ่น นายนาคายาม่าได้เป็นCEOคนใหม่ของเซก้า ส่วนนายรอซเซนได้เป็นหัวหน้าสาขาของเซก้าในอเมริกา

ในปี 1984 กลุ่มบริษัท CSK ได้เข้าซื้อบริษัทเซก้า และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท "เซก้า เอนเตอไพรซ์ จำกัด" โดยมีสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น มีนายอิซาโอะ โอคาวะเป็นประธานบริษัท และมีการนำหุ้นของบริษัทเซก้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 1986

ในปี 1986 ตลาดวีดีโอเกมส์ในอเมริกาได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น เซก้าจึงฉวยจังหวะนี้ก่อตั้งบริษัท "เซก้า ออฟ อเมริกา" ขึ้นมา และได้ผลิตเครื่องเกมส์คอนโซลเครื่องแรกของเซก้าที่ชื่อ"มาสเตอร์ซิสเต็ม" ขึ้นมาแข่งกับแฟมิคอมของบริษัทนินเทนโด ถึงแม้เซก้าจะแพ้ให้กับนินเทนโดในการขายมาสเตอร์ซิสเต็มในอเมริกาเหนือ แต่เซก้าสามารถครอบครองตลาดยุโรปและบราซิลได้สำเร็จ

เมกาไดรฟ์

เซ ก้าผลิตเครื่องเกมส์ 16 บิทที่ชื่อ"เมกาไดรฟ์"(ในอเมริกาใช้ชื่อว่า"เจเนซิส")ออกวางจำหน่ายในปี 1988 เครื่องเมกาไดรฟ์นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องแฟมิคอมหลายเท่า เซก้าจึงหวังจะใช้เมกาไดรฟ์ในการตีตลาดวีดีโอเกมส์ที่นินเทนโดครอบครองอยู่ โดยใช้สโลแกนว่า "เจเนซิสทำ ในสิ่งที่นินเทนโดไม่"(Genesis does what Nintendon't) ซึ่งต่อมาในปี 1991 เมื่อนินเทนโดนำเครื่องเกมส์รุ่นใหม่ที่ชื่อ"ซูเปอร์แฟมิคอมออกจำหน่าย จึงเกิดการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างสองบริษัท จนเรียกขานกันภายหลังว่าเป็นสงครามเกมส์คอนโซลที่ดุเดือดที่สุด เพื่อแข่งกับเกมส์ชื่อดังของนินเทนโดอย่างมาริโอ เซก้าพัฒนาเกมส์ใหม่ที่มีชื่อว่า"Sonic the Hedgehog" โดยมีจุดมุ่งหมายเอาใจตลาดกลุ่มวัยรุ่น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเท่ห์กว่าและการดำเนินเกมส์ที่เร็วกว่าเกมส์มาริโอ ต่อมาเมื่อสื่อบันทึกรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า CD-ROM เริ่มเป้นที่นิยม เซก้าได้พัฒนาอุปกรณ์เสริมที่ชื่อ "เซก้า-CD" ซึ่งเป้นอุปกรณ์เสริมที่ทำมห้เครื่องเมกาไดรฟ์สามารถเล่นเกมส์จากแผ่นCDได้ ต่อมาในปี 1994 เครื่องเกมส์แบบ 16 บิทเริ่มจะล้าสมัย เซก้าได้พยายามยืดอายุของเครื่องเมกาไดรฟ์โดยออกอุปกรณ์ที่ชื่อ"เซก้า-32X" ออกวางจำหน่าย โดยเซก้า-32Xจะช่วยอัพเกรดให้เครื่องเมกาไดรฟ์มีประสิทธิภาพใกล้เคียง เครื่องเกมส์32บิท แต่ก็ต้องหลีกทางให้เครื่องเกมส์รุ่นใหม่อย่างเพลย์สเตชันและแซทเทิร์นในที่ สุด

ความสำเร็จในอุตสาหกรรมเกมส์อาเขต

ในปี 1993 เซก้าได้นำเกมส์ต่อสู้ 3มิติ "Virtua Fighter"ออกจำหน่ายในรูปแบบของเกมส์ตู้อาเขต ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเซก้า ด้วยตู้กมส์อาเขตแบบใหม่ที่เซก้าพัฒนาขึ้น เวอร์ช่วลไฟต์เตอร์เป็นผลงานที่ล้ำหน้าในยุคนั้นในด้านกราฟิกแบบ 3มิติ ซึ่งเกมส์นี้เป็นจุดกำเนิดของเกมส์ต่อสู้แบบ 3มิติ

ต่อมาในปี 1994 เซก้าก็ได้นำเกมส์แข่งรถที่ชื่อ"เดโทน่าUSA"ออกวางตลาด ซึ่งกลายเป็นเกมส์แข่งรถแบบอาเขตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เป็นเกมส์แข่งรถที่ทำเงินได้มากที่สุดในยุคนั้น ในปีเดียวกันเซก้าก็ได้นำเกมส์"เวอร์ชวล คอป"และ"สตาร์ วอวร์"ออกวางตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน

ในปี 1994 เซก้าได้เข้าซื้อบริษัทผลิตเกมส์พินบอล และเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดเกมส์พินบอลในอเมริกา ซึ่งต่อมาเซก้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเกมส์พินบอลรายใหญ่ที่สุดในโลก

แซทเทิร์น

เซ ก้านำเครื่องเกมส์รุ่นใหม่ที่ใช้CD-ROMที่ชื่อ"แซทเทิร์น"ออกวางจำหน่ายในปี 1994 โดยแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเครื่องเพลย์สเตชันของโซนี่และนินเทนโด 64ของนินเทนโด แต่เครื่องแซทเทิร์นกลับขายไม่ค่อยดีนักในตลาดฝั่งตะวันตก เครื่องแซทเทิร์นจึงถูกเซก้าทอดทิ้งในเวลาไม่นาน แต่ในญี่ปุ่น เครื่องแซทเทิร์นประสบความสำเร็จพอสมควร จึงมีเกมส์ที่ออกวางขายเฉพาะในญี่ปุ่นออกให้กับเครื่องแซทเทิร์นจำนวนมากมาย ปี 1997 เซก้าได้ควบรวมกิจการกับบริษัทบันไดชั่วคราว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็แยกตัวออกมา เนื่องจาก"วัฒนธรรมในการทำงานแตกต่างกัน"

ดรีมแคสต์

ใน วันที่ 9 เดือน 9 ปี ค.ศ. 1999 เซก้าได้เปิดตัวเครื่องเกมส์รุ่นใหม่ นั่นคือ "ดรีมแคสต์" ดรีมแคสต์นั้นมีราคาไม่แพงนัก ทั้งยังมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถเล่นเกมส์ที่มีคุณภาพสูงกว่าเกมส์ของนินเทนโด64หรือเพลย์สเตชัน พร้อมด้วยแถมโมเด็มขนาด 56K มาพร้อมกับเครื่อง ทำให้สามารถเล่นเกมส์ดรีมแคสต์ออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ เซก้าได้พัฒนาเกมส์ที่สามารถใช้กับระบบออนไลน์นี้ เช่น เกม"แฟนตาซี สตาร์ ออนไลน์" ซึ่งเป้นเกมส์ออนไลน์บนคอนโซลเกมส์แรกของวงการ

แต่ อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวของดรีมแคสต์ในญี่ปุ่นไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากมีจำนวนเกมส์ให้เลือกเล่นน้อย และบรรดานักเล่นเกมส์ต่างกำลังรอคอยเครื่องเพลย์สเตชัน 2ที่กำลังจะออกใหม่ ทำให้เครื่องดรีมแคสต์ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนในตลาดฝั่งตะวันตกนั้นประสบความสำเร็จเป้นที่น่าพอใจ จนได้รับการเรียกขานว่า"การเปิดตัวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ประสบความสำเร็จที่ สุดในประวัติศาสตร์" ในอเมริกาขายได้ถึง 5แสนเครื่องภายในอาทิตย์แรก[4] เซก้าสามารถครอบครองส่วนแบ่งการตลาดนี้ไว้ได้ในระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเครื่อง"เพลย์สเตชัน"ของโซนี่เปิดตัวในอเมริกา ซึ่งทำให้ความนิยมของดรีมแคสต์ตกต่ำลง จนสูญเสียตลาดให้กับโซนี่ในที่สุด

เครื่อง ดรีมแคสต์ได้สร้างนวัตถกรรมใหม่ๆหลายอย่างให้กับวงการเกมส์ เช่น การใช้กราฟิกแบบ"เซล-เชด" ระบบที่ทำให้ติดต่อกับเกมส์ผ่านทางไมโครโฟนได้ และเกมส์ชื่อดังอย่างเกมส์"เชนมู"ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี เกมของเซก้านั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบรรดานักเล่นเกมส์ส่วนมาก เนื่องจากบรรดานักเล่นเกมส์มัวแต่หันไปสนใจกับเครื่องเพลย์สเตชัน 2

เซ ก้าต้องประสบกับปัญหาหนี้สิน และการเข้ามาของเพลย์สเตชัน 2 ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก เซก้าจึงตัดสินใจยุติการผลิตเครื่องดรีมแคสต์ และถอนตัวจากอุตสาหรกรรมเครื่องเกมส์คอนโซล เครื่องดรีมแควต์จึงเป็นเครื่องเกมส์คอนโซลเครื่องสุดท้ายของเซก้า

เครื่องเล่นเกมคอนโซล

ผลิตภัณฑ์ เครื่องเล่นเกมคอนโซลของเซก้า ได้แก่ SG-1000, SG-1000 Mark II, SC-3000, Sega Master System, SG-1000 Mark III, เมก้าไดรว์ (ในอเมริกาใช้ชื่อว่า Genesis) , Sega Saturn และ Sega Dreamcast

เครื่องเล่นเกมพกพา

ผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นเกมพกพาของเซก้า ได้แก่ เกมเกียร์ และ Sega Nomad

การกลับมาทำเครื่องคอนโซล

มี ข่าวมาจากต่างประเทศว่าเซก้าจะกลับเข้ามาร่วมสงครามคอลโซล(เครื่องเกม)อีก ครั้งในชือ ringedge,ringwide ซึงอาจจะเเสดงในงานE3 2009ในเดือนมิถุนายนหรือในวันที9กันยายนปีนี้ จะเขียนได้เป็นเลข 9/09/09 ตามที่เกมเมอร์(gamer)ต่างประเทศทำนายไว้ ทีทำนายอย่างนี้เพราะว่าdreamcastเครื่องเล่นเกมล่าสุดของเซก้าวางขายในวัน ที่9/09/99(วันที่ 9เดือนกันยายนปี1999)หรืออย่าสุดท้ายอาจจะเป็นปี2011-2012ปีที่เครื่องเกม ยุคที่8(ปัจจุบันยุคที่7) จะวางจำหน่าย

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/Sega

ใครจะไปรุ้ SEGA อาจจะกลับมาประสบความสำเร็จในตลาดเครื่องเล่นเกมคอนโซลอีกครั้งก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น