วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่าอึดอัด เกี่ยวกับรายการทีวีทางช่อง free tv ของเมืองไทย



พูดถึงรายการทีวีหรือวงการบันเทิงของเมืองไทยนั้น มีเรื่องน่าคับแค้นใจให้ว่าบานเลยครับ อย่างหนึ่งก็เรื่อง รายการนำเสนอข่าวประเภทจับคนมานั่งวิเคราะห์ข่าวหลายรายการก็ไร้ความเป็นกลาง หาสาระได้น้อยนิดเมื่อเทียบกับเวลาออกอากาศตลอดรายการ กับมีแต่ชวนให้คนดุเสียเงินส่ง SMS ไปทะเลาะกันอีก ยิ่งรายการประเภท จับผู้หญิงมานั่งฝอยอะไรไม่รู้ได้เป็นคุ้งเป็นแคว อย่าง ผู้หยิงถึงผู้หญิง ก็พุดจนน่าหนวกหูแต่ไม่มีสาระ จนหนังสือพิมพ์ฉับหนึ่งเคยเอาเขียนติติงไปแล้ว แถมพิรายการนี้ดัง มีผุดกันมาบานเลย ทั้งรอบวันธรรมดาและวันหยุด

ยิ่ง นางสาว กาละมัง เอ๊ย กาละแม เคยเจอหลักฐานประเภท เห็นกับตา ได้ยินกับหู ว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้จริงเรื่องรายะลเอียดบางประการของข่าวที่ตัวเองอ่าน นี่คือเรื่องราวในครั้งนั้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ True Visions ยังไม่เข้ามาในชีวิตผม

ในรายการ ผุ้หญิงถึงผู้หญิง ครั้งหนึ่ง นางสาวกาละแมเอาข่าวแปลกๆเรื่องหนึ่งมาอ่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ แม่ที่เปิดเว็บฯ Ebay ทิ้งไว้ แล้วลูกอายุไม่กี่ขวบมาเล่นมั่วซั่ว โดยไม่รู้ว่ากำลังประมูลรถ Nissan Figaro แล้วประมูลชนะโดยไม่รู้ตัว แม่ถึงตกใจแล้วเกือบลมใส่

แต่สิ่งที่เด็ดสุดไม่ใช่ตัวข่าว ที่เด็ดคือ กาละแม พอพิธีกรพูดมากของรายการ ไม่รู้จักรถรุ่นนี้ แล้วนึกว่าข่าวพิมพ์ผิด เป็น Nissan Cefiro หรือเปล่า

เหลือเชื่อครับ คนระดับพิธีกรรายการทีวีที่คนรู้จักแทบทั่วบ้านทั่วเมือง กลับไม่รู้จักศึกษาหาข้อมูลถึงรายละเอียดบางอย่างในข่าวที่อ่านออกอากาศ โอเคครับ มันเป้นรายการออกอากาศสดก็จริง แต่ตัวข่าวมันมีการเตรียมมาก่อนหน้านี้แน่ๆ ทำไมผู้หญิงคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าค่าตัวต่อเทปคงมากกว่าเงินเดือนพ่อผมทั้งเดือนแน่ๆ ทำไมไม่เสียเวลาสักนิดศึกษารายะลเอียดของข่าวก่อนนำมาอ่านให้ดีกว่านี้

แล้วเจ้ารถ Nissan Figaro นั่นน่ะ เข้าไปที่ google แล้วพิมพ์ชื่อรถรุ่นนี้ลงไปแล้วเลือกค้นหา ทั้งข้อมูลและรูปภาพของรถรุ่นนี้มีเพียบเลย และนี่คือ รายละเอียดเจ้ารถคันที่ว่าครับ (ภาพอยู่บนสุด)

ปีที่ผลิต : 1991 (จำกัดจำนวนไว้ที่ 20,000 คัน)
เครื่องยนต์ : 4 สูบเรียง 987 ซีซี SOHC (single overhead camshaft),+ Turbo (รหัสเครื่องยนต์ MA10-ET)
ระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อน : เกียร์อัตโนมัติ 3 speed ขับเคลื่อนล้อหน้า
ความยาวฐานล้อ : 2,300 mm (90.6 in)
ความยาวตัวรถ : 3,740 mm (147.2 in)
ความกว้าง : 1,630 mm (64.2 in)
ความสูง : 1,365 mm (53.7 in)
น้ำหนักรถ : 810 kg (1,786 lb)
ความจุของถังน้ำมัน : 40 ลิตร (11 US gallon)
Fuel capacity 40 L

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 18 ปีที่แล้ว จะมี retro car หน้าตาน่ารักแบบนี้ด้วย

โฆษณารณรงค์งดสูบบุหรี่ที่ดีที่สุดที่เคยดูมา

โฆษณาชุดนี้เป็นของต่างประเทศครับ เก่ามากแล้ว เป็นของ quit line

http://www.youtube.com/watch?v=0yf9ee6t67o

ผมว่าทาง สสส น่าจะศึกษาแนวทางจากโฆษณาชุดนี้นะครับ เขาทำออกมาได้ดูดีและชวนให้ใครก็ตามที่กำลังสูบบุหรี่อยุ่ โดยเฉพาะคุณพ่อที่มีครอบครัวแล้ว อยากหยุดสูบบุหรี่ทันที

หลังจากข้อความส่วนนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้อง comment ครับ

ไม่ใช่ทำแต่โฆษณาประเภท แช่งชักหักกระดูก ทำยังกับว่าใครที่สูบบุหรี่นี่ ดูเลวยังกับเขาเพิ่งไปขโมยรถยนต์หรืองัดเครื่องATMเพื่อขโมยเงินซะงั้น ไม่ว่าจะโฆษณาชุดใดก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องให้เลิกบุหรี่ที่ทำโดยฝีมือคนไทยในรอบ 2 ปีหลังมานี้ ทำได้ ห่วย มากๆครับ มีแต่ใช้ความรู้สึกในเชิงสาปแช่งมากกว่าความรู้สึกเชิงสงสารแบบโฆษณาที่ผมยกตัวอย่างมาผมไม่ใช่คนสูบบุหรี่ ไม่คิดที่จะสูบ และก็ต่อต้านการสูบบุหรี่ แต่ผมถือว่า ตราบใดที่คนคนั้น ไม่ได้เอาเงินเราไปซื้อบุหรี่ ไม่ได้สูบบุหรี่ในสถานที่ราชการ ไม่ได้สูบบุหรี่บนรถโดยสารหรือยานพาหนะที่เป้นส่วนรวม ไม่ได้สูบบุหรี่ในห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ ไม่ได้สูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันหรือสถานที่ใดก็ตามที่มีสารไวไฟ ไม่ได้สูบในสถานที่แบบindoorใดๆก็ตามที่มีการห้ามสูบบุหรี่ ไม่ได้มานั่งสูบข้างๆเราโดยที่เราเป็นฝ่ายนั่งอยูก่อนนานแล้ว ไม่ได้มาสูบในบ้านเราหรือที่ที่เราอยู่ และถ้าที่ที่คนคนนั้นสูบบุหรี่ เป็นที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ เป็นบ้านส่วนตัวหรือรถยนต์ส่วนตัวของเขา ผมถือว่าเป็นสิทธิของเขาครับ โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปว่าหรือสาปแช่งเขา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆก็ตาม

-------------------------------------------------------------------------------
โฆษณาประหยัดน้ำมันก็เหมือนกันครับ ที่ทำโดยฝีมือคนไทย ก้มีแต่ออกแนว ไม่สร้างสรรค์ ดีแต่เอาความสะใจกับเอากฎหมู่ เหนือความถูกต้องจำโฆษณาประหยัดน้ำมันที่ออกมาช่วงปี พ.ศ. 2548 ได้มั๊ยครับ ที่มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เป็น presenter โดยจะขอยกตัวอย่างโฆษณา 2 ชุด ที่ไม่เข้าท่าอย่างมากชุดแรก เปิดตัวเป็นคนขับรถรับจ้างคนหนึ่งเติมน้ำมัยเสร็จ แล้วเปิดกระเป๋าตังค์ดู สงสัยว่าเงินหายไปไหน อยู่ๆก็มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เข้ามาแล้วพูดว่า อยากรุ้มั๊ยครับว่าเงินหายไปไหน แล้วชี้ไปยังสี่แยกข้างหลังที่อยุ่ใกล้ๆกันเป้นภาพของรถกระบะยกสูงแบบรถ big foot คันหนึ่ง จอดติดไฟแดง แต่งท่อไอเสียรอบคับเหมือนโรงสีข้าว แถมคนขับยังเหยียบคันเร่งเพื่อเบิ้ลเครื่องอยู่กับที่แบบไม่เสียดายน้ำมัน (มีฉากจับหน้าคนขับที่เบิ้ลเครื่องอย่างสะใจ) เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน ก้มาสาถยายาเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในขณะคนขับรถรับจ้างเดินไปที่รถกระบะคันนั้น ปีนขึ้นไปเปิดประตู แล้วกระทืบคนชับรถกระบะดดยเอามือรั้งตัวไว้กับขอบประตูรถผมรู้ครับ การที่คนขับรถกระบะคนนั้น เร่งเครื่องอยุ่กับที่แบบไร้เหตุผล หรือการที่เขาแต่งรถแบบเกินความจำเป็น มันเป้นพฤติกรรมการใช้น้ำมันที่สิ้นเปลืองและล้างผลาญ แต่ไอ้การที่ไปกระทืบคนเนี่ย เป้นพฤติกรรมที่น่าเอาเป็นแบบอย่างหรือเป็นพฤติกรรมที่ดี อย่างนั้นหรือครับ
---------------------------------------------------------------------------
มาชุดที่สอง เป้นชุดที่มีหญิงแก่ไฮโซมาดคุณนายคนหนึ่ง จอดรถเบ็นซ์แล้วพูดว่าอยากประหยัดน้ำมันให้ได้มากกว่านี้ แล้วก็มี เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน เข้ามาพูดว่า ช่วยเปิดกระโปรงท้ายรถด้วยครับ พอเปิดมาก็มีของเต็มเลยครับ ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของอื่นๆอีกเพียบ อยุ่ๆ เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน ก็เป่านกหวีดยาว แล้วพวกชาวบ้านแถวนั้น ก้เข้ามากรูกันเอาของไปจนหมดท้ายรถ แล้วก็พูดถึงเรื่องบรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมันโอเคครับ บรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมัน (น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 40 ซีซี ต่อ กิโลเมตร) แต่ไอ้พฤติกรรมที่ผมเห็นนั้น บ้านผมเขาเรียกว่า การราวทรัพย์แบบซึ่งๆหน้าครับ ผมเคยพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่ผมเรียนวิชา criminology ฟังเมื่อตอนเรียนอยุ่ปี3 ท่านก็ยังคิดเหมือนผมเลยครับ ถ้าไม่นับพวก พ่อค้ารถกระบะ เซลล์แมน ที่จำเป็นต้องบรรทุกของเต็มรถตลอดเวลานั้น หลายคนเขามีรูปแบบการดำรงชีวิตหรือรุปแบบของการทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริต ที่ต้องบรรทุกข้าวของเต็มรถ ทั้งเสื้อผ้า และสารพัดสรรพสิ่ง บางคนต้องไปงานนู่นนี่บ่อยๆ เลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ หรือต้องพกพาข้าวของบางอย่างติดรถด้วยเสมอเพราะใช้บ่อยเมื่ออยู่นอกบ้าน ซึ่งการที่เขาเหล่านี้ถ้าจะเลือกวิธีเอาของทิ้งไว้ที่บ้าน นอกจากจะเสียเวลาแล้ว การขับรถกลับไปเอาอีกรอบ อาจจะเปลืองน้ำมันยิ่งกว่าด้วยครับ

-----------------------------------------------------------------------
คราวนี้มาโฆษณาตัวที่3 เป็นโฆษณาประหยัดน้ำมันเช่นกัน แต่คนละชุดกับ2ตัวแรก ครั้งนี้เรื่องไม่เข้าท่ามีนิดเดียว แต่มีการแฝงข้อความที่ชวนเข้าใจผิดได้เป็นเรื่องของอาเสี่ยที่ใช้น้ำมันอย่างฟุ่มเฟือยคนหนึ่ง ที่สั่งให้คนขับรถเร่งเครื่องให้สุดๆ คนชับเตือนก็ไม่ฟัง แล้วก็ไม่แคร์ว่าจะเปลืองแค่ไหน รถที่เขาใช้คือ Mercedes-Benz รหัสตัวถัง W-124 (ที่เราเรียกกันว่า รุ่นโลงจำปา) พอมาถึงปั๊ใน้ำมัน ถูกคนขับรถเบิร์ดกะโหลกแล้วพูดเรื่องการใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่า แถมยังเจอเด็กปั๊มสมทบอีกตัดมาฉากสุดท้าย เขาก็เปลี่ยนมาใช้รถ Austin Mini (ผมหมายถึง Mini รุ่นเก่านะครับ ไม่ใช่ Mini สมัยใหม่แบบที่เราเห็นกัน) แล้วอาเสี่ยนั่นก็พูดว่า ใช้รถเล็กๆก็ได้แค่นี้

ก็อีกนั่นแหล่ะครับ การใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ที่การตบหัวคนนี่ เป้นพฤติกรรมของสุภาพชนหรือเปล่าครับแล้วขอพูดถึงเรื่องรถยนต์ทั้ง 2 คันที่ถูกยกมากล่าวในนี้ด้วย แล้วบอกว่า ใช้รถเล็กแบบนั้นประหยัดกว่า ถ้ารถเล็กที่นำมาเข้าฉากนั้น เป็นรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ (หรือสมัยเดียวกับ Benz โลงจำปาคันนั้น) ก็จะไม่น่าตะขิดตะขวงใจหรอกครับ แต่มีอะไรที่อยากบอกสักหน่อยนะครับ ตามประสาคนที่รู้เรื่องรถนต์มาพอควร (แม้จะไม่เคยขับเจ้ารถ 2 คันนั้นก็ตาม และก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์Mercedes-Benz รายใดด้วย)ยอมรับครับว่า Austin Mini คือรถยนต์ที่ถุกสร้างมาเพื่อการประหยัดน้ำมันในช่วงยุค 60 และมันก็ทำได้จริงตามคำโฆษณาและเป้นรถดีในยุคนั้น แต่ นั่นมันสมัยนั้นครับ

สมัยนี้ ใครที่จะเล่น Austin Mini นอกจากจะต้องมีเงินค่าซื้อรถแล้ว ยังต้องใจรักจริงๆ รู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกการซ่อมรถยนต์บ้างสักเล็กน้อย (ไม่ใช่แบบที่ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขับกับเติมน้ำมัน) และรถคันนี้ก็เหมือนกับ Volkswagen Beetle รุ่นแรก ถ้าจะซื้อควรซื้อในสภาพที่ผ่านการบูรณะมาแล้ว ถ้าซื้อแบบโทรมๆมาบูรณะเอง งบประมารบานปลายแน่ครับและเจ้ารถคันนี้

อะไหล่บางชิ้นนั้น ไม่ว่าจะเครื่องยนตืหรือตัวถัง ค่อนข้างหายากครับ เผลอๆแพงด้วย จะซ่อมบำรุงทีก้ต้องหาอู่สถานเดียว (ไม่ได้มีศูนย์แบบรถใหม่ แหงหล่ะมันเป้นรถเก่าตั้ง 40 ปีแล้วนี่) อู่นี่ก้ต้องดูดีๆอีกว่ามันจะไม่โขกค่าซ่อมเรา (โดยเอาข้ออ้างว่า นี่รถเก่าคลาสสิคนะ อะไหล่บางชิ้นมันหายาก) ในขณะที่เจ้า Mercedes-Benz W-124 นั้น ที่แม้จะเก่า แต่ซ่อมได้ทั้งในศูนย์บริการของmercedes-Benz อะไหล่ในเซียงกงก็มีเยอะมาก (จนเอามาประกอบได้อีกหลายคัน)

แม้เจ้า W-124 คันนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น economy car หรือเป็นเจ้าหนูประหยัดน้ำมัน แต่มันก็ผลิตโดยใช้วัสดุที่สามารถนำไป recycle เพื่อผลิตเป็นอย่างอื่นใหม่ได้อีกแทบจะทั้งตัวรถทั้งภายนอกภายใน ถ้ารถ Benz คันนี้หมดสภาพความเป็นรถไปแล้ว (ไม่ว่าจะจากอายุการใช้งานหรืออุบัติเหตุ) และมันยังมี คาตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ ไว้กรองไอเสียอีกด้วย ซึ่งปล่อยมลพิษออกมาคงน้อยกว่าเจ้าหนู Autin Mini ที่ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ (เพราะเกิดในคนละยุคสมัย)
และเหลือเชื่อครับ mercedes-Benz W-124 ที่ใหญ่เทอะทะ แต่ค่าพลศาสตร์อากาศ หรือ ค่า Cd แค่ 0.31 เท่านั้น ในขณะที่ Austin ๋Metro รถเล็กที่ผลิตในยุคเดียวกับเจ้า W-124 มีค่า Cd สูงถึง 0.41 ดูเหมือนการมีขนาดใหญ่กว่า ไม่ได้แปลว่าลู่ลมน้อยกว่า mercedes-Benz นี่เขาเก่งดีนะ (หลักฐาน อยุ่ในลิงค์ข้างล่างนี่ครับ)

http://www.bentleypublishers.com/isbn/9780837602301/9780837602301/gallery-618-9.htmlhttp://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้http://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้

http://74.125.153.132/search?q=cache:WkUejWpTBRYJ:www.uniquecarsandparts.com.au/car_info_austin_mini_metro.htm+austin+mini+aerodynamic&

Mercedes-Bezn W-124 เติม น้ำมันแกสโซฮอล์ล95 ได้สบาย ในขณะที่ Austin Mini นั้น อย่างน้อยๆต้อง เบนซิน91ซึ่งราคาสูงกว่า และปั๊มShell เริ่มจะไม่เอามาขายแล้ว (Shell แถวโคราชมีแต่แกสโซฮอล์ลกับดีเซลเท่านั้นครับ ไม่มีเบนซิน91อีกแล้ว)ยิ่ง W-124 รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้น ใช้น้ำมันดีเซลประเภท biodiesel ได้สบายมาก (แม้จะเป็นแบบที่ความเข้มข้นมากกว่า B-5 ก็ตาม)ดัดแปลงเอามา ติดแก๊ส ก็ง่ายด้วยนะครับ

--------------------------------------------------------------------------
พักจากเรื่องประหยัดน้ำมันไปแล้ว คราวนี้ก้มี โฆษณารณรงค์ที่ทำออกมาแบบไม่เข้าท่าอีกชุด ที่แม้แต่นิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ (เป้นนิจยสารของไทย) เล่มหนึ่ง ยังวิจารณืว่าไม่เข้าท่าเลยครับ

เป็นโฆษณารณรงค์ให้คนรักการอ่าน โดยมี2ชุด ชุดแรก มีสถานที่เป้นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ๆก็มาอ่าน วิธีการใช้โทรศัพท์สาธารณะด้วยเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง แล้วยังอ่านประกาสรับสมัครงานที่แปะอยู่บนเสาใกล้ๆกันด้วยเสียงดัง ทามกลางสายตาผุ้คนที่หันมามองอย่างไม่ขาดสาย

ชุดที่ 2 สถานที่เดิม แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เอาหนังสือพิมพ์มานอนอ่านด้วยเสียงดังแบบเดียวกัน ผู้คนก็หันมามองเช่นเดิมทั้งสองชุด

มีคำพุดจากเสียงบรรยายมาว่า เห็นมั๊ยครับ ว่าการอ่านทำให้คุณเป็นคน่าสนใจแค่ไหน

จำนิตยสารที่ผมกล่าวในตอนแรกได้มั๊ยครับ คนเขียนพูดออกมาโดยจับใจความคร่าวๆได้ว่า "ไม่รู้คนคิดโฆษณานี้ ถุก ผี..่าซาตาน ตนใดมันสิงสู่ ถ้าให้ทำแบบนี้ แทนที่จะทำให้เราเป้นคนน่าสนใจมากขึ้นจากการอ่าน กลับทำให้เราเป็นตัวประลาดมากกว่าน่าสนใจ พาลทำให้ พวกรักการอ่านดูกลายเป้นตัวประหลาดไป"

ผมเองก็เห้นด้วยกับความคิดของคนเขียนบทวิจารณ์นี้ครับ ว่าเรื่องดีๆที่ควรจะรณรงค์ พอมาถ่ายทอดแบบผิดวิธีก็กลายเป้นดูไม่ดี ราวกับคนทำโฆษณาคิดแค่เอาให้คนจำง่ายอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงแง่มุมอื่นบ้าง

นักทำโฆษณาเมืองไทยเรื่องที่เกี่ยวกับการรณรงค์นั้น คงต้องทำการบ้านและมีการยกเครื่องทางความคิดกันสักหน่อยแล้วหล่ะครับ ไม่ใช่ทำแค่ว่า ให้มันสะใจกับให้มันติดตาคน เท่านั้น บางอย่างมันควรทำโดยคิดถึงกาละเทศะและอีกด้านของโฆษณาที่คิดจะทำสักหน่อย

ผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่ก็พอรู้บ้างตอนเรียนวิชาการตลาดตอนปี3 แต่อย่างที่ว่า มีเส้นกั้นบางๆที่ค่อนข้างะลเอียดอ่อน ในการทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะโฆษณา ละคร ภาพยนตร์ เพลง แม้แต่การนำเสนอข่าว และผมรู้ว่า ไม่มีนักสรรสร้างผลงานคนไหน จะทำให้ทุกคนชอบผลงานของตนได้ทุกคน

เหรียญมีสองด้าน แต่ละคนมีต่างมุมมอง และนี่คือ ด้านที่ผมพึงพอใจที่จะมองและนำเสนอ และมุมมองของผมที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน (เช่นเดียวกับที่ผมรักเดียวใจเดียวกับ Lego City โดยไม่คิดที่จะแตกไลน์)

กลับมาพูดถึงโฆษณาประเภทรณรงค์ของต่างประเทศต่อ มีอีกชุดหนึ่งที่ดูดี เป็นโฆษณารณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย ดดยตัวโฆษณา ให้เห็นภาพของรถยนต์คันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนค่อนข้างหนัก วิญญาณของคนในรถค่อยๆหลุดจากร่าง แต่มีอยู่ร่างหนึ่งที่วิญญาณไม่ยอมหลุด เพราะคนที่เป็นเจ้าของร่างนั้น ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แล้วเขาก็ฟื้นอีกครั้ง และเป็นคนเดียในรถคันนั้นที่รอดตาย ลิงค์ข้างล่างนี่เลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=nI9_BTm41MI

ข้อความที่เป็นการดูถูกคนอ้วนและจำกัดสิทธิ์คนอ้วนขั้นรุนแรงจากBlogแห่งหนึ่ง


ได้มาจาก http://mklasing.wordpress.com/2008/08/14/obamas-energy-plan-revealed/

นี่ คือเนื้อความส่วนหนึ่งในนั้น ที่พูดถึงเรื่อง กฎหมายการประหยัดน้ำมันที่เจ้าของบล็อคอยากให้ obama นำมาใช้...แต่อ่านแล้วรู้สึก จี๊ดขึ้นสมองเลยครับ ถึงผมอาจจะแค่รูปร่างอวบ มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมา 10 กก. ไม่ถึงกับอ้วนแบบหลายๆคนในที่นี้ก็ตาม

Here is one for you Obama–kind of on the fat tire theme. You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all. First that would knock out maybe 60% of all drivers and then the use of gas would decrease dramatically. Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลเป้นไทยได้คร่าวๆดังนี้ เริ่มจากประโยค You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all.

คุณควรอนุมัติกฎหมายไม่อนุญาติให้คนน้ำหนักเกินขับรถยนต์-ทั้งหมด

ประโยค ต่อจากนั้น น่าจะเกี่ยวกับเรื่อง การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น (ไม่กล้าแปลเป็นภาเขียนเพราะเดี๋ยวจะผิดความหมาย) แต่ประดยคต่อมานี่สิครับ เน้นขยายความจะๆเลยว่าเป้นการกีดกันคนที่รูปร่าง

Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลว่า ให้คนที่ใช้น้ำมันน้อยเท่านั้นที่อยู่บนท้องถนน-เพราะพวกเขาผอม-อย่างเช่นคุณ

แปล ว่าเกิดมาเป็นคนอ้วนนี่มันผิดเหรอ เกิดมาเป็นคนอ้วนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะขับรถยนต์หรืออย่างไร จะโยนให้คนอ้วนเป็นตัวการหลักในการผลาญเชื้อเพลิงของประเทศไปเลยเหรอ แล้วพวกคนผอมๆที่มันชอบขับขี่รถแบบปาดซ้ายป่ายขวา เร่งเครื่องโดยไม่มีเหตุผล จอดรถแล้วติดเครื่องรอเกิน 5 นาทีกับสารพัดการใช้น้ำมันอย่างล้างผลาญนี่หล่ะ แบบนี่สมควรให้อยู่บนท้องถนนเหรอครับ แย่พอๆกับคนเขียนบทความ

ถ้ามี การออกกฎหมายลักษณะนี้จริงๆขึ้นมา ไม่ว่าจะในอเมริกาหรือประเทศไหนก็ตาม มันคือเผด็จการชัดๆ และถ้ามันมีจริงๆ หวังว่าคนอ้วนทุกคนในประเทศนั้นจะออกมาประท้วงให้ถึงที่สุด หรือถึงขั้นก่อจลาจลกันไปข้างหนึ่งเลย ชนิดที่ว่า จลาจลrodney king ใน LA ปี 1992 ชิดซ้ายไปเลย

งั้นถ้าปัญหาคลิปโป๊บนมือถือมันระบาดหนักนัก ก็แก้ปัญหาด้วยการ ห้ามขายห้ามผลิตมือถือ3G กันเลยดีมั๊ยครับ

อ้วนครองโลก

เป็นบทความที่มาจาก http://www.sarakadee.com/feature/2002/08/fat.htm ขอยกความดีความชอบให้กับผุ้เขียนบทความนี้ที่เป็นต้นแบบ ที่นำมาลงเพราะเรื่องราวน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมชอบด้วย

-ทุกวันนี้ ขณะที่คนราว ๘๐๐ ล้านคนทั่วโลก กำลังถูกคุกคามด้วยโรคขาดอาหาร หรือพูดง่าย ๆ ว่ากำลังจะอดตาย คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับถูกโรค "ขาดอาหารไม่ได้" เล่นงานจนอ้วนปี๋ (ขนาดที่ก้มมองนิ้วเท้าตัวเองไม่เห็น) จำนวนสูงถึง ๓๐๐ ล้านคน
-จะว่าไปแล้ว คนอ้วนก็เป็นโรคขาดอาหารชนิดหนึ่ง คือเป็นคนที่ขาดอาหารไม่ได้ ต้องกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่ตลอดเวลา
-ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอ้วนในโลกกำลังเป็นห่วงว่าคนอ้วนกำลังระบาดหนักไปทั่วโลก
-จากการประชุมประจำปีของสมาคมนักวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ดร.สเตนเร่ย์ อุลลิจาเซ็ก แห่งมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ได้แสดงความเป็นห่วงว่า คนอ้วนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว กำลังไปปรากฏตัวอยู่ตามดินแดนที่ห่างไกล
-อุลลิจาเซ็กบอกว่า คนอ้วนเริ่มปรากฎในปากแม่น้ำปูราริ ประเทศปาปัวนิวกินี ดินแดนไกลลิบที่ไม่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่มาก่อนปีค.ศ. ๑๙๘๐ และจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ๑ % ของผู้ชายและ ๕ % ของผู้หญิงในดินแดนแห่งนั้นเป็นคนอ้วน
-ในหมู่เกาะแปซิฟิก คนอ้วนได้ถือกำเนิดในดินแดนแห่งนี้มาอย่างน้อย ๕๐ ปีแล้ว แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาอัตราคนอ้วนได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจนน่าประหลาดใจ
-ในเมืองราโรตองก้า เมืองหลวงของหมู่เกาะคุ้ก มีการสำรวจเมื่อสามสิบปีก่อนพบว่า ๑๔ % ของผู้ชายและ ๔๔ % ผู้หญิงเป็นคนอ้วน แต่ปัจจุบันคนอ้วนเพิ่มพรวดขึ้นมาว่า ครึ่งหนึ่งของคนในเมืองหลวงแห่งนี้ทั้งชายและหญิงเป็นคนที่มองไม่เห็นนิ้วเท้าตัวเองแล้ว
-ขณะที่ลึกเข้าไปในทะเลทรายใจกลางทวีปออสเตรเลีย ดินแดนแห้งแล้งที่ไม่ค่อยมีอะไรจะกิน แต่นักวิจัยพบว่า ๔ % ของเด็ก ๆชาวแอบบอริจิน ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย และ ๑๕ % ของผู้ใหญ่มีน้ำหนักมากผิดปกติ
-ในขณะเดียวกัน ประชากรจากประเทศยากจน ที่อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศที่เจริญอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบหมด
-มีการพบว่าเด็กอินเดียนชาวมายาเกินครึ่ง ที่อพยพจากประเทศกัวเตมาลา ไปอยู่มหานครลอสแองเจลิส มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนอ้วนกันถ้วนหน้า แซงหน้าคนผิวขาวและผิวดำเจ้าของประเทศ โดยมีสาเหตุสำคัญคือ อาหารไขมันสูง และน้ำสะอาดที่ทำให้เด็กปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ มากมาย
-ส่วนสาเหตุที่คนอ้วนระบาดไปทุกหนแห่งของโลก มาจากสาเหตุสำคัญสองประการคือ คนเหล่านั้นกินอาหารที่มีแคลอรีสูง และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
-หลายคนเป็นโรคหัวใจหัก หัวใจเดาะ ทำใจไม่ได้ จึงต้องหันมาพึ่งอาหารเป็นเพื่อนยามยาก กินไปเรื่อย ๆ จนหยุดการขยายตัวของกระเพาะไม่ได้
-การที่โลกนี้มีคนอ้วนมากขึ้น หากมองในแง่ดีก็น่าจะเป็นแนวโน้มที่ชี้ให้เห็นว่า เพื่อนมนุษย์ของเราบนโลกนี้เป็นโรคขาดอาหารกันน้อยลง ผู้คนมีรูปร่างจ้ำม่ำกันมากขึ้น
-เช่นที่เมืองไทย มีรายงานจากมูลนิธิสุขภาพแห่งชาติว่า ๔๓ % ของผู้หญิงไทยและ ๒๓ % ของผู้ชายไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ส่วนในชนบทอันห่างไกล ยังไม่มีรายงานระหว่างคนอ้วนกับคนหิวโซ ใครจะเพิ่มมากขึ้นกว่ากัน

วันแห่งคนอ้วนของญี่ปุ่น



-วันแห่งคนอ้วน (Debu No Hi) ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ระลึกสำหรับคนอ้วน

และยังมีวันสำคัญประหลาดอีกมากมายนับไม่ถ้วน โดยเลือกเอามาให้ดูเพียงบางวันเท่านั้น

-วันแห่งแฮมเบอร์เกอร์ (Hamberger No Hi) ตรงกับวันที่ 20 กรกฏาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 46 เป็นวันแรกที่มีร้าน แมคโดนัล เปิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่ชั้นหนึ่งของห้างมิทสึโกชิในย่านกินซ่า

-วันแห่งเนื้อย่าง (Yakiniku No Hi) ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานเนื้อย่าง ตั้งโดยสมาคมเนื้อย่างแห่งประเทศญี่ปุ่น

- วันแห่งสุนัข (Inu No Hi) ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมให้คนรักและระลึกถึงสุนัข

-วันป๊อกกี้และปริทซ์ (Pocky&PRETZ No Hi) ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ***ลิโกะ บริษัทผลิต ป๊อกกี้และปริทซ์ ตั้งวันป๊อกกี้และปริทซ์ ขึ้นมาเมื่อ ปีเฮเซที่ 11 เดือน 11 วันที่ 11 หากนำวันและเดือนและปี มาเขียนเรียงติดกัน ก็จะได้เป็น 111111 ซึ่งเหมือนกับแท่งป๊อกกี้และปริทซ์ 6 แท่ง ในโฆษณาของป๊อกกี้เอง ก็มีการโชว์แท่งป๊อกกี้ 4 แท่งในมือของพรีเซนเตอร์ด้วย (เพราะว่าปีเฮเซที่ 11 เลยมาแล้ว) จุดประสงค์ที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการส่งเสริมการขายป๊อกกี้ มีการจัดแคมเปญต่างๆเกี่ยวกับป๊อกกี้และปริทซ์ในวันที่11/11 ของทุกๆปีด้วย

-วันแห่งโรงแรม (Hotel No Hi) ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 23 เป็นวันแรกที่ Teikoku Hotel โรงแรมแห่งแรกในญี่ปุ่นเปิดให้ใช้บริการ

-วันแห่งไก่ทอด (Fried Chicken No Hi) ตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 21 พฤศจิกายน ปีโชวะที่ 45 เป็นวันแรกที่มีร้านไก่ทอด เคนตักกี้ เปิดในญี่ปุ่น ที่นาโกย่า

-วันแห่งโซบะ (Soba No Hi) ตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีประเพณีการทานโซบะข้ามปี (Toshikoshi Soba) จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นเป็นวันรณรงค์การทานโซบะ

-วันแห่งนม (Milk No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มนม

- วันแห่งอุด้ง (Udon No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนรับประทานอุด้ง

-วันแห่งรูปถ่าย (Shashin No Hi) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมรูปถ่ายแห่งประเทศญี่ปุ่นตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการถ่ายรูป

-วันแห่งขยะ (Gomi No Hi) ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทิ้งขยะโดยแยกชนิดของขยะอย่างถูกต้อง

-วันแห่งกระเทย (Okama No Hi) ตรงกับวันที่ 4 เมษายน ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่อยู่ระหว่างกลางของวันเทศกาลลูกท้อ (Momo No Sekku) เป็นวันสำหรับเด็กผู้หญิง ซึ่งคือวันที่ 3 มีนาคม (3/3) และวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (Tango No Sekku) ซึ่งคือวันที่ 5 พฤษภาคม (5/5) จึงตั้งวันที่อยู่กึ่งกลางนั่นคือวันที่ 4 เมษายน (4/4) เป็นวันสำหรับคนครึ่งหญิงครึ่งชาย นั่นคือกระเทย (คำว่า Okama แปลว่า กระเทย)

-วันแห่งแมว (Neko No Hi) ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากแมวที่ญี่ปุ่นร้องขึ้นต้นด้วยคันจิที่เหมือนกับเลข 2 ด้วยกัน 3 อัน วางเรียงกันได้เป็น 222 ซึ่งแปลงเป็นวันที่ได้วันที่ 2/22

- วันแห่งบันไดเลื่อน (Escalator No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีการใช้บันไดเลื่อนขึ้นที่ห้างมิตสึโกชิ สาขา นิฮงบาชิ ในวันที่ 9 มีนาคม ปีไทโช ที่ 3

-วันแห่งแกงกระหรี่ (Curry No Hi) ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทำและรับประทานแกงกะหรี่

-วันแห่งการปวดหัว (Zutsuu No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ไม่ให้คนทำอะไรมากเกินไปจนปวดหัว

-วันแห่งชาเขียว (Maccha No Hi) ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ

-วันแห่งนามสกุล (Myouji No Hi) ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นที่ระลึกสำหรับการเริ่มใช้นามสกุลเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปีเมจิที่ 8

-วันแห่งภาพยนตร์ (Eiga No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนไปดูภาพยนตร์

- วันแห่งการจราจรปลอดภัย (Koutsuu Anzen No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนขับรถอย่างปลอดภัย ไม่ขับรถด้วยความเร็ว

- วันแห่งข้าว (Okome No Hi) ตรงกับวันที่ 8 และ 28 ของทุกๆเดือน สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ระลึกถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น

และวันสำคัญธรรมดาทั่วไป
-วันแม่ (Haha No Hi) ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม ของทุกปี

-วันพ่อ (Chichi No Hi) ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี

ข้อมูลจาก http://www.yamashita-tomohisa.com/ เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้เพราะมีอีกเยอะครับ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

สวนกระแสหมูแฮม (หงิกศักดิ์ ณ พันทิพย์)...เรื่องเก่าเล่าใหม่ เพราะนี่คืออีกด้านที่ควรได้รับการถ่ายทอด

ไปขุดมาจากอีก blog ที่เปิดเอาไว้แล้วไม่ได้ไปจัดการมันตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เลยเอามาลงใหม่ที่นี่ เพราะอยากให้ทุกคนควรอ่าน

-----------------------------------------------------------

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=899272&pageno=1

สวนกระแสหมูแฮม (หงิกศักดิ์ ณ พันทิพย์)

เนื่องจากพลาดการดูข่าว "ขับรถเบนซ์ทับคนตายของหงิกศักดิ์" ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในหลายเว็บบอร์ด
ผมจึงไปโหลดคลิปรายการเรื่องเล่าเช้านี้ (ความยาวร่วมครึ่งชั่วโมง) จากเว็บบิททอร์เรนท์ที่เป็นสมาชิกอยู่
กะจะเก็บรายละเอียดของการให้สัมภาษณ์ เอาไว้เป็นข้อมูลในการเขียนถล่มหงิกศักดิ์ตามกระแสสักหน่อย
แต่เมื่อได้ดูรายละเอียดบางอย่างแล้ว ผมขอเปลี่ยนใจ ขออยู่ข้างเดียวกับพ่อของน้องหมูแฮมแทนก็แล้วกัน

.....ประเด็นหลัก
คุณพ่อของหมูแฮมพูดย้ำในรายการแล้วว่า ลูกของตัวเองกระทำผิดจริง ทั้งการทุบ พขร. และขับรถชนตาย
.....ประเด็นร้อน
คำพูดที่กลายเป็นประเด็นร้อนนั้น เกิดขึ้นหลังจากคุณพ่อของหมูแฮมเห็นภาพการสัมภาษณ์กระเป๋ารถเมล์

.....ถาม
คำพูดในทำนองที่ว่า หมูแฮมแกล้งทำเป็นชัก ไม่สบาย โดยการส่งซิกของตำรวจ มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน ?
.....ตอบ
มาจากการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของพนักงานเก็บค่าโดยสารรถเมล์เพียงคนเดียว (และทุกคนเชื่อกันหมด)

.....อาการชักแบบหมูแฮม มีอยู่จริงหรือไม่
จริง คนในครอบครัวผม 1 คนมีอาการแบบหมูแฮม ตอนเด็กเกิดอาการชักอย่างแรง จนเกร็งเป็นเวลานาน
นำส่งโรงพยาบาล (ล่าช้าด้วยเหตุผลบางอย่าง) ผลตรวจพบว่า สมองบางส่วนเสียหายจากการขาดออกซิเจน
แม้จะรอดชีวิต แต่ความเสียหายดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและพฤติกรรมบางส่วนอย่างถาวร
คนที่รอด ร่างกายมีความไวต่อสภาพการกดดันจากสิ่งแวดล้อมสูง ถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะเกิดอาการชักเกร็ง
คนที่ไม่รอด ก็นอนเป็นผัก เป็นภาระครอบครัว เพราะอาการนี้ไม่แบ่งแยกว่าจะเกิดขึ้นในคนรวยหรือคนจน

.....แล้วคนแบบนี้ใช้ชีวิตในสังคมได้หรือไม่
ในแง่ของการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ผู้ที่รอดมาได้ สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนคนปรกติทั่วไป
กรณีคนในครอบครัวผม ขับรถเองได้ (รถญี่ปุ่นมือ 2 ครับ ไม่ใช่รถเบนซ์) จำทางได้ แต่จำชื่อสถานที่ไม่ได้
ใช้ไปทำธุรกรรมที่ธนาคารได้ มีความสนใจในบางเรื่องสูงพอที่จะแข่งแฟนพันธุ์แท้ได้ แต่การเรียนไม่ดีนัก
อาการชักเกร็งจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับแรงกดดันจากสิ่งเร้ารอบตัว ในสถานการณ์ที่ทำให้ระดับความเครียดสูง
ประเทศไทย มีผู้ป่วยอาการแบบนี้นับแสนคน แต่เป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากจะพูดสักเท่าไร

เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น สังคมไทย ก็มักพิพากษากลุ่มผู้มีอาการผิดปรกติไปในทางลบอยู่แล้ว เสียเวลาแก้ตัว
ไม่ว่าจะชักจริงหรือไม่จริง จะฮั้วหรือไม่ฮั้วกับตำรวจ ยังไงก็ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี แล้วจะอธิบายไปทำไม

ผมเองก็ไม่รู้ว่า กรณีของหมูแฮม จะเป็นอาการชักเกร็งจริงหรือไม่
แต่ถ้าเกิดเป็นคนในครอบครัวผมไปเป็นผู้ก่อเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
(และเจ้าตัวเป็นโรคลมชักจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ ไม่ได้ฮั้วกับตำรวจ)
แล้วเจอภาพกระเป๋ารถเมล์ "ไร้การศึกษา" พูดออกโทรทัศน์แบบนี้
ผมจะด่ากลับให้หนักกว่าคุณพ่อของหมูแฮมเป็นสิบเป็นร้อยเท่าแน่

ใครจะไปรู้ ละครน้ำเน่าอาจส่งผลกระทบต่อคนระดับรากหญ้าให้รู้สึกเกลียดชังคนรวยและตำรวจจริงๆ ก็ได้
อย่างให้สัมภาษณ์หน้ากล้องโทรทัศน์ โดยสวมบทเป็นนางเอกที่แสนดี ผู้ถูกสังคมกดขี่ในละครไทยหลังข่าว
จนไม่มีใครสังเกตคำให้สัมภาษณ์ของกระเป๋ารถเมล์ที่เปลี่ยนไป เพราะกำลังด่าพ่อหงิกศักดิ์อย่างเมามันส์
แถมคู่กรณีอีกฝ่ายนั้น กระทำผิดจริงๆ อย่างชัดเจน จึงไม่มีใครสนใจว่าข้อมูลอะไรถูกใส่ไข่เพิ่มเข้าไปบ้าง
สมควรยิ่งที่คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ต้องมาจัดระเบียบละครน้ำเน่าอย่างรวดเร็วเฉียบขาด

ปล. 1 เนื่องจากคลิปรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ช่วงดังกล่าวมีขนาดกว่า 40 M ความยาวร่วมๆ ครึ่งชั่วโมง
ตอนนี้กำลังคิดหาวิธีอยู่ครับ ว่าจะปล่อยไฟล์ดังกล่าวลงใน Entry นี้ทางช่องทางไหนดี ที่อัพได้สะดวกหน่อย

ปล. 2 มาคิดดูอีกที ถ้าเปลี่ยนจากรถเบนซ์เลขทะเบียนสวยๆ ไปเป็นรถญี่ปุ่นมือสองสภาพโทรมแบบสุดๆ
ครอบครัวนามสกุลไม่ดัง มีหนี้หัวโต แล้วจะมีผู้อ่านข่าวชื่อดังตัวย่อ ว. ออกมาพิพากษาชี้นำสังคมหรือเปล่า

ปล. 3 หมูแฮมกระทำผิดจริง (เพราะเหตุจากโรคลมชักเวลานี้ยังไม่มีข้อยกเว้นทางกฎหมายแต่อย่างใด)

Related Links

* โรคลมชัก http://www.bangkokhealth.com/neuro_htdoc/neuro_health_detail.asp?Number=9145
* โครงการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักครบวงจร http://www.thaiepilepsy.org/
* โรคลมชักกับกฎหมาย (ไฟล์ .PDF ขนาด 1 MB) http://www.thaiepilepsy.org/lflnews2549/lfl-news-special-dec2006.p

นี่คือความเห็นของคนอื่น...ที่ดูเหมือนจะเริ่มรู้จักมองอะไรอย่างสองด้าน ส่วนความเห็นที่มาด่านั้น ไม่เอามาลง เพราะใน พาลทิพย์ (พันทิพย์) มีเยอะแล้ว

กระเป๋ารถเมย์บางทีมันก้กวนตืนเหมือนกันน๊ะเราขึ้นบ่อย บางทีมันก็หงุดหงิดใส่ผู้โดยสารพูดจามะนาวไม่มีน้ำบ้าง สรุปว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดังโปรดใช้วิจารณญาณย์ในการฟัง ควรแยกเป็นประเด็นๆไป ผิดก็อยู่ส่วนผิด ถูกก็อยู่ส่วนถูก ฟังแบบมีเหตุผล สรุปว่าเราไม่ได้เข้าข้างใครแต่ว่า ควรคิดให้กลางๆไม่ร้ายไปไม่ดีไป เพราะ ว่าวันนี้เราเจอกระเป๋ารถเมย์ 2คน ไม่รู้ไปทะเลาะกับสามีเหรอว่าเป็นข่าวฮอตเลยไม่เห็นหัวผู้โดยสาร

Name : 555555+


โรคทางจิตมันเปนโรคที่ซับซ้อนนะ จะแกล้งทำหรือเปนจริง มีใครในที่นี้เปนหมอเหรอไง ถึงได้ตัดสินแทนขนาดนั้น .. ก้เพราะว่าใช้อารมณ์กันอย่างนี้ล่ะ ประเทศมันถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้ แค่ความคิดเห็นแตกต่างก็แทบจะฆ่ากันให้ตายแล้ว คนตาย เค้าตายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก้คนเป็น..กม.มันก็ยังมีอยู่ จะพิพากษารับโทษยังไง มันก็มีบทลงโทษเหอะ ถ้าไม่ใช่พ่อมัน แล้วมันไม่ใช่ลูกคุน หรือถ้าไม่ได้มีญาติฝ่ายไหนเปนกระเป๋ารถเมล์ ก็ไม่ต้องสาด..ใส่กันอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรโง่ๆออกมาหรอกนะว่าวัดยังไงว่าไร้การศึกษา.. ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไรล่ะ การศึกษามันทำให้เราคิดเป็น คิดจะใช้เหตุผลให้ได้มากกว่าอารมณ์แต่ก็จริงอยู่สำหรับบางคนว่าการศึกษามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังไงมันก็มีส่วน..เพราะถ้าคนมีการศึกษา ก็คงมีทางเลือกที่จะไปทำอย่างอื่นมากกว่ามาเปนกระเป๋ารถเมล์แล้วล่ะ

Name : มีการศึกษาว่ะ

เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ...

Name : HaluHalu

แล้วก็ลองนึกย้อนดูด้วยวว่า ที่ผ่านมารถเมล์และรถร่วมบริการทำคนเจ็บคนตายจากความประมาทความชุ่ยที่เห็นกันจะๆกี่ราย เห็นว่าปีหนึ่งมีคนตายเพราะอุบัติเหตุจากความชุ่ยแบบนี้เกือบ30รายทีเดียว ทั้งจากสภาพรถที่ไม่ได้ความ ซิ่งแข่งกันรับผู้โดยสาร ยิ่งพวกรถร่วมบริการสีเขียวนี่ชอบทำตัวเป็นมาเฟียประจำท้องถนน ล่าสุดรถร่วมบริการก็ทำเรื่องแย่อีกหนึ่งเรื่อง ด้วยการหยุดประท้วงเรื่องขอขึ้นค่าโดยสาร หยุดวิ่งประท้วงน่ะไม่ว่า แต่มาชุมนุมกีดขวางการจราจรของผ๔ใช้รถรายอื่นบนท้องถนนด้วยนี่น่าด่าจริงๆ

Name : John

แล้วรู้สึกว่าหลังจากนั้น4เดือน พรบ.กฎหมายเรื่องคอมพิวเตอร์ ก็ออกมา ซึ่งมีเรื่องบทลงโทษพวกที่ชอบโพสต์ข้อความด่าคนนั้นคนนี้เสียๆหายๆแบบโอเวอร์เกินเลย (แม้เขาจะผิดจริง) ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกนักโพสใน พาลทิพย์ กับใน ผู้จัดเกรียน(ผู้จัดการ) พวกนี้นี่แหล่ะ

แต่ตอนนี้ก็ยังคงมีให้เห็นได้ทั่วไปทุกแห่งที่มีการให้แสดงความคิดเห็น พรบ.ฉบับนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่เสือกระดาษไปเสียแล้วหล่ะครับ

edit @ 27 Nov 2008 00:04:57 by คนอ้วนใส่สูท

-----------------------------------------

ความคิดเห็นส่วนตัว ณ : นี่แหล่ะน้าคนบนโลกออนไลน์ อย่าเอาอะไรมากนัก ผ่านมาหลายปี พวกนั้นก็ดีแต่ออกความเห็นด่าคนกันเข้าไป ใครไม่เห็นด้วยกับพวกที่ไปด่านายหมูแฮมหรือด่าอะไรก็ตาม ก็ถูกหาว่าเป็นคนเลว ตอนนี้เลยอยู่ประจำแค่ที่ Thairetro เพราะคนที่นั่นมีมารยาทกว่ากันเยอะมาก