วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คุณรู้จัก 3G บนคลื่นความถี่ 2100 MHz มากแค่ไหน?

ย้อนความไปถึง 3G ที่เอาคลื่นความถี่เดิมมาใช้คือ AIS ใช้คลื่น 900MHz และจับมือกับ TOT คลื่น 2100MHz ส่วน dtac, TruemoveH นั้นใช้คลื่น 850MHz มาทำ 3G หากมองในท้องตลาด เวลาเราซื้อมือถือ เรามักจะพบชื่อรุ่นที่วงเล็บว่า (900) หรือ (850) นั่นหมายถึงว่า สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ตที่ขายในไทยนั้น มีการแบ่งรุ่นออกเป็น 2 รุ่นคือ รุ่นที่รองรับ 3G 900MHz / 2100MHz จะใช้งานกับ SIM AIS, TOT อย่างพวก i-Mobile 3GX ได้ หากใช้ TruemoveH, dtac จะใช้งานกับรุ่น 3G 850MHz / 2100MHz หากใครซื้อไปผิดรุ่น อาจจะใช้งานได้ไม่เต็มที่ อย่างเช่นใช้ Samsung Galaxy SII รุ่นรองรับ 3G 900MHz แต่เอาซิม TruemoveH ที่รองรับ 3G 850MHz มาใช้ สามารถใช้งานร่วมกันได้ แต่จะไม่เสถียร โดยโอปอเรเตอร์ และผู้ผลิต จะไม่รับรองว่า คุณจะใช้เครือข่ายได้อย่างไม่ติดขัดใดๆ อย่างผู้เขียน ใช้ Samsung Galaxy SII รุ่น 900MHz แต่ใช้ซิม TruemoveH 3G 850MHz ไม่ตรงกับรุ่น สามารถใช้งานได้ แต่มีบางจังหะ สัญญาณแกว่ง สัญญาณหาย ขี้นเตือน data roaming ข้อมูล จะพบอาการแบบนี้เป็นประจำ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจ หากใช้ซิมเครือข่าย 3G ที่ไม่ตรงกับรุ่น แต่สำหรับ 3G 2100MHz นั้น คุณจะต้องสำรวจอุปกรณ์ของคุณเสียก่อน โดยปกติแล้ว สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ตในไทย แม้ว่าจะรองรับ 3G 850MHz และมีการขายรุ่น 900MHz แยกกัน แต่อย่างไรก็ตาม รุ่นเหล่านี้เมื่อใช้กับ 3G 2100MHz สามารถใช้งานได้ร่วมกันได้แทบทุกรุ่น (ส่วนเครื่องนอก ต้องรบกวนตรวจสอบก่อนใช้งาน) ยกตัวอย่าง Samsung Galaxy ACE2 ที่มีจำหน่ายรุ่น 3G 900MHz แต่ก็รองรับ 3G 2100MHz ด้วย นั่นหมายความว่า หากคุณใช้ซิม TruemoveH, dtac ที่รองรับ 3G 850MHz หากต้องการใช้งานบน Samsung Galaxy ACE2 รุ่น 900MHz สามารถยื่นคำจำนงค์ขอเปลี่ยนค่ายไปใช้ 3G 2100MHz ก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ (แต่หากไม่ต้องการย้ายค่าย การใช้ซิม 850MHz บนเครื่องที่รองรับ 3G 900MHz อาจจะให้ผลในการใช้งานเครือข่ายที่ไม่สมบูรณ์นัก เช่น ใช้งานได้เฉพาะ EDGE แต่ใช้ 3G ไม่ได้ เพราะไม่ตรงรุ่น) ทางที่ดีย้ายค่ายมาใช้คลื่น 2100MHz จะใช้งานได้ดีกว่า การอ่านสเปคเครื่อง แนะนำให้อ่านจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ และผู้ผลิตบนเว็บไซต์ภาษาไทย เพื่อให้ทราบว่า ทางศูนย์ฯ ได้นำเครื่องรุ่นใดบ้าง ที่รองรับ 3G 2100MHz มาจำหน่าย ซึ่งปกติแล้ว สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต ล้วนแต่รองรับ 3G 2100MHz แทบทั้งสิ้น ค่าบริการ จากข่าวที่ว่า จะมีการลดค่าบริการลง 15% ตรงนี้ทุกสิ้นเดือนผู้ให้บริการต้องส่งแพคเกจที่เปิดให้บริการในเดือนนั้นๆ มาให้ กสทช. พิจารณา เพื่อใช้ในการคำนวณ ว่าค่าบริการลดลง 15 เปอร์เซ็นต์จริงหรือไม่ ถ้าไม่ จะมีมาตรการบังคับ เริ่มตั้งแต่การมีหนังสือเตือนไปยังบริษัทเพื่อให้ปรับลดราคาลงตามขั้นตอน ต่อไป เตรียมตัวย้ายค่าย ในช่วงที่มีการให้บริการ 3G 2100MHz จริงๆมีการทดสอบก่อนหน้านี้แล้ว บางคนอาจจะเคยค้นหาสัญญาณเจอ 3G 2100MHz ของผู้ให้บริการที่กำลังทดสอบการให้บริการอยู่ แต่ไม่สามารถใช้งานได้ หากต้องการใช้งาน จะต้องยื่นความจำนงค์ขอเปลี่ยนย้ายเครือข่าย เพราะในทางกฏหมายแล้ว ไม่ใช่ว่าถ้าเจอสัญญาณ 3G 2100MHz แล้วคุณจะจับสัญญาณใช้งานได้เลย (แม้ว่าตัวเครื่องจะรองรับ) แต่จะต้องย้ายค่ายตามข้อกำหนด นั่นหมายถึงการเปลี่ยนซิม หรือใช้ซิมเดิม แต่จะต้องติดต่อผู้ให้บริการเพื่อขอย้ายค่ายไปใช้ 3G 2100MHz ผู้ใช้ 3G 2100MHz ต้องมีการย้ายค่าย ผู้ใช้คงจะพอคุ้นเคยกับ Mobile Number Portability หรือที่เรียกย่อว่า MNP หรือภาษาชาวบ้านว่า “ย้ายค่ายเบอร์เดิม” การใช้ 3G 850MHz เดิม แล้วจะไปใช้ 3G 2100MHz ใหม่ จำเป็นต้องย้ายค่ายตามขั้นตอนปกติ (ตามกฏหมาย) ไม่ใช่การจับสัญญาณแล้วใช้ได้เลย ส่วนจะทำได้เมื่อไหร ต้องรอการประชาสัมพันธ์จากผู้ให้บริการอีกครั้ง เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเครื่องของเรา รองรับ 3G 2100MHz หรือไม่ ข้อมูลจากการตอบกระทู้ Pantip จาก callcenter@ais.co.th แนะนำว่า “สามารถ กดตรวจสอบคุณภาพ SIM ว่ารองรับการใช้งานคลื่นความถี่ 2100 ได้ง่าย ๆ ผ่าน *570# โทรออกครับและ *571# โทรออกเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเครื่อง” เงื่อนไขในการใช้บริการ ในกรณีผู้บริโภคที่ใช้ซิม 3G บนคลื่น 2.1 GHz (3G ใหม่) กับโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นที่รองรับระบบ 3G ใหม่ (ส่วนใหญ่ 2100MHz) สำหรับผู้บริโภคที่ใช้ซิม 3G ใหม่ แต่นำไปใส่ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเก่าที่ไม่สามารถรองรับระบบ 3G ใหม่ การใช้งานของท่าน ก็จะยังวิ่งอยู่บนโครงข่าย 2G เดิม เปรียบเสมือนผู้บริโภคกำลังใช้โทรศัพท์ระบบ 2G เดิมอยู่ ดังนั้น ควรตรวจสอบรุ่นของตัวเครื่องกับผู้ให้บริการ และผู้ผลิตก่อน จากที่กล่าวมาข้างต้น ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า หากเดิมใช้ 3G 850MHz, 900MHz อยู่ แล้วเปลี่ยนค่ายไปใช้ 3G 2100MHz แล้ว หากต้องการใช้ 3G 850MHz ก็ต้องเข้าข้อกำหนดของการย้ายค่ายตามกฏของกสทช.ตามปกติ ไม่สามารถ swap ไปใช้คลื่น 850 สลับกับ 2100MHz ได้ แต่การย้ายค่ายอาจจะไม่ยุ่งยากเหมือนกับการย้ายค่ายแบบเดิม ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า หากย้ายไปใช้ 3G 2100MHz ก็น่าจะมีการโรมมิ่งการใช้งานในบางสถานที่มาใช้ 3G 850MHz ด้วย เพราะสัญญาณจะได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ สำหรับตัวเครื่อง Samsung เพิ่งปรับราคาลงต้อนรับการเปิดตัว Samsung Galaxy S IV (S4) ส่วน Truemove เดิม (ไม่ H) และ DPC 1800MHz ที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในเดือนกันยายนนี้ มีข่าวว่าจะต้องรีบเคาะประมูลคลื่น 1800MHz โดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหาซิมดับ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไม่ปลื้ม ร้องเรียนได้ หากอัตราค่าบริการไม่ลดลง 15% ตามที่ กสทช. ได้ประกาศไว้ แนะนำให้ตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของท่านก่อนว่ารองรับระบบ 3G ใหม่ได้หรือไม่ สำหรับผู้บริโภคที่ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G เดิม สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบการ ให้ตรวจสอบและดูแลคุณภาพการให้บริการที่ดี และหากผู้ใช้บริการพบปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการ อาทิ สายหลุด โทรติดยาก ความเร็วอินเทอร์เน็ตลดลง ฯลฯ สามารถร้องเรียนมายังสำนักงาน กสทช. ผ่านช่องทาง Call Center 1200 หรือ SMS 1200 ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือร้องเรียนผ่านทางโทรสาร 0-2271-3516 และที่อีเมล์ 1200@nbtc.go.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

from USA

ทำไมไม่ควรข้าม 3G ไป 4G

คลื่น 2100 MHz เอาไปทำอะไรได้บ้าง คลื่นย่าน 2100 MHz Band1 (Downlink 2110 – 2170 MHz และ Uplink 1920 – 1980 MHz) ที่ประมูลกันในประเทศไทยในนี้ ตามที่ ITU กำหนดมานั้นมีไว้ให้บริการสำหรับการโทรคมนาคมระบบ WCDMA รวมถึง LTE ด้วยครับ ทั้งนี้มีประเทศที่ใช้คลื่นย่าน 2100 MHz เดียวกันนี้ติดตั้ง 4G LTE คือญี่ปุ่นครับ และที่สำคัญ iPhone 5 รุ่นที่จำหน่ายนอกสหรัฐฯ ก็รองรับคลื่นย่านนี้ในระบบ LTE ด้วยเหมือนกัน และสำหรับเงื่อนไขใบอนุญาตที่ระบุไว้ในข้อกำหนดการประมูลของ กสทช. ดังนี้ ข้อ ๑๕ ขอบเขตการอนุญาต ผู้รับใบอนุญาตมีสิทธิให้บริการโทรคมนาคมในลักษณะของการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อให้เช่าใช้และเพื่อให้บริการโทรคมนาคม (Network Provider and Service Provider) และการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโทรคมนาคม (Telecommunications Facility) โดยมีขอบเขตในการประกอบกิจการโทรคมนาคมดังกล่าวทั่วราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ กิจการโทรคมนาคมที่ได้รับอนุญาต ให้รวมถึงลักษณะและประเภทของบริการ ดังนี้ (๑) บริการโครงข่ายโทรคมนาคมไร้สาย (๒) บริการโทรคมนาคม ดังนี้ (๒.๑) บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (๒.๒) บริการพหุสื่อความเร็วสูง (Public Broadband Multimedia Service) (๒.๓) บริการมูลค่าเพิ่ม (Value-added Service) ของบริการโทรคมนาคมที่ได้รับอนุญาต (๒.๔) บริการขายส่งบริการ สำหรับบริการในข้อ (๒.๑) (๒.๒) และ (๒.๓) (๓) บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโทรคมนาคม (Telecommunications Facility) ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะประกอบกิจการกระจายเสียง หรือกิจการโทรทัศน์ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จะสังเกตว่าในขอบเขตใบอนุญาต ไม่ได้มีการระบุเทคโนโลยีการให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น หมายความว่า ถ้าผู้ให้บริการรายใดพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม ก็สามารถแบ่งคลื่น 2100 ที่ประมูลได้บางส่วน (หรือทั้งหมด) ไปทำ LTE ด้วยก็ได้ครับ แล้วทำไมไม่ติดตั้ง 4G ไปเลย? ใช่ว่าของใหม่ทุกอย่างจะดีกว่าของเก่านะครับ คือระบบ 4G LTE เนี่ย เนื่องจากมันเปลี่ยนระบบจาก 2G/3G ไปเกือบหมดเลย ทำให้มีปัญหาตัวใหญ่สุดคือ “มันยังโทรออกผ่าน LTE ตรงๆ ได้ไม่สมบูรณ์” มีใครอยากได้มือถือมาเล่นเน็ตอย่างเดียวไม่โทรออกบ้างมั้ยครับ (มีแหละ แต่คงไม่เยอะขนาดนั้นหรอก) หมายความว่าถ้าผู้ให้บริการติดตั้ง LTE อย่างเดียว การโทรออกทั้งหมดก็ต้องโรมมิ่งกลับไปยังเครือข่าย 2G ที่กำลังจะหมดสัญญาสัมปทาน และต้องโอนคลื่นความถี่พร้อมทรัพย์สินคืนไปให้ผู้ให้สัมปทาน แล้วจะประมูลคลื่นไปทำไม? และพอ 2G หมดสัญญาสัมปทานแล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ด้วย (แต่เดี๋ยวพอทรูมูฟหมดสัญญาสัมปทานปีหน้าแล้วก็รู้กัน)สาเหตุสำคัญอีกประการคือ นอกจากไอโฟนห้าแล้ว ทุกวันนี้มือถือที่รองรับ LTE ยังมีในตลาดไม่กี่สิบรุ่นเท่านั้น แถมราคาก็ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับไอโฟนนั่นแหละครับ คนที่มีกำลังทรัพย์พอจะใช้ได้ก็คงเป็นคนในกรุงอย่างเดียว สรุปแล้วคือ… ไม่มีประโยชน์ที่จะข้ามไปติดตั้ง LTE เพียวๆ โดยไม่ลงทุนติดตั้งระบบ 3G WCDMA ครับ แต่ถ้าติดตั้งปนกันไปเลยบางพื้นที่ก็เป็นไปได้ (เช่นในห้าง) ติดตั้ง 3G 1-2 ช่องสัญญาณ แล้วเอา LTE มาช่วยลดภาระการใช้งานช่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตในช่องที่เหลือ แบบนี้ก็จะทำให้ใช้งานช่องสัญญาณได้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ ทำไม LTE โทรออกไม่ได้? อันที่จริงจะบอกว่าโทรไม่ได้ก็ไม่เชิงนะครับ แต่เนื่องจาก LTE เนี่ย เป็น IP-Based network คือมันเป็นโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายระยะไกลเต็มรูปแบบเลย คือตั้งแต่มือถือจับสัญญาณได้ ก็ได้ IP แล้ว ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแยก แล้วโยนระบบ circuit switch ที่ใช้เป็นช่องสัญญาณสำหรับการคุยกันด้วยเสียงทิ้งไป ทำให้บริการแบบเดิมๆ ที่อิงกับระบบ circuit switch คือ โทรศัพท์ผ่านระบบมือถือ หรือแม้กระทั่ง SMS ใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบใหม่ทั้งหมด เป็นการโทรผ่านอินเทอร์เน็ตแทน (นึกภาพเหมือนเราต่อ WiFi โดยไม่มีสัญญาณมือถือได้ครับ ลักษณะเดียวกัน) ปัญหาที่สองคือ แล้วเราจะอ้างอิงเบอร์ได้ยังไงในเมื่ออยู่บน internet มันไม่มีเบอร์โทรศัพท์ (มีแต่หมายเลข IP) ปัญหาที่สาม (ถ้าเกิดโทรได้) ถ้าโทรๆ อยู่สัญญาณ LTE หาย ต้อง switch กลับไปหา 2G/3G จะทำไงให้คุยได้ต่อเนื่อง ปัญหาที่ว่ามานี้ ทางออกกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาครับ โดยใช้เทคโนโลยีชื่อว่า VoLTE (Voice over LTE) ซึ่งมันใหม่กว่า LTE ปกติอีก และอุปกรณ์ที่รองรับก็มีน้อยมากๆ เข้าไปอีกครับ (เท่าที่ตรวจสอบมาได้มี Samsung Galaxy SIII และ LG Optimus II รุ่นพิเศษที่วางขายในเกาหลีเท่านั้น)

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

LEGO CITY ทั้งหมดที่มี ณ เวลา ปัจจุบัน

เข้าไปดูใน link กันเอง ขี้เกียจโพสรูป https://www.facebook.com/media/set/?set=a.165200123512277.32248.100000668716391&type=3

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ้นศรัทธา ในตัวคนหลายๆคนรอบตัวฉัน

ข่าวเรื่องรถปอร์เช่ชนคนตายกับแพรวา ทำให้ได้รู้ว่า สิ้นศรัทธาแล้วในตัวคนรอบข้าง(โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่) ที่กลายเป็นทาสของกระแสพวกนี้ ไหลตามน้ำไปเรื่อย พอคนเหล่านี้พูดและแสดงความเห็นอะไรออกมา ก็ดูชัดเจนเลยว่า “อยากหาเรื่องด่าคนรวยนี่หน่า” กับเห็นชัดว่า ก็แค่วิตกจริตวิ่งเต้นตามกระแส ไหลตามน้ำไปเรื่อย

ตัวเองอยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่า ก็ไม่ได้อยู่ เป็นญาติคนตายมั๊ย ก็ไม่ใช่ ข่าวเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แผ่นดินไหวก็เหมือนกัน เต้นไปเรื่อย ไปหัดหาข้อมูลที่มันน่าเชื่อถือจากสารคดีบางหรือเปล่า ก็คงไม่ทำอยู่ดี

อย่างว่านะ อายุมากกว่าเรา งานการก็มั่นคง วิพากย์วจารณ์พูดนั่นนี่ได้เต็มที่อยู่แล้ว ส่วนเราห็แค่เสียงส่วนน้อย

ถ้าคนที่ก่อเหตุ เป้นแค่พนักงานบริษัทเงืนเดือน 12,000 บาท เป็นคนนามสกุลไม่ดัง รถยนต์ที่ชนก้แค่ Mitsubishi Champ, Nissan Sentra หรือ Toyota Corona หน้ายิ้ม พวกท่านคงไม่มาด่ามาวิจารณ์กันขนาดนี้หรอก

ดีแต่ว่าเราหลงแต่กระแสในโลกออนไลน์ ตัวคนพวกนี้เอง ก็กลายเป้นทาสกระแสข่าวจาก free tv และ นสพ รายวัน เหมือนกันหล่ะน่า

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

3180 : tank trailer truck







ซื้อจาก Central Plaza ขอนแก่น

เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน

[size=20pt]ผมอัดอั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอควร ในที่สุดก็มีบทความที่ทำให้ผมได้รู้สึกว่า "I NEVER WALK ALONE" เกี่ยวกับเรื่องนี้[/size]

[center]เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน[/center]

โลกร้อนขึ้นคงไม่มีใครสงสัย การรักษาสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่การรณรงค์เรื่องโลกร้อนทำให้ใครได้ ใครเสียประโยชน์ ประเด็นนี้เป็นกรณีศึกษาของการโฆษณาชวนเชื่อในการทำให้ประชาชนมืดบอดหรือไม่ และถือเป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” สำหรับใครบางคนหรือไม่
ทุกวันนี้ แทบทุกคนคงได้ยินเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และเชื่อว่าทุกคนที่ได้ฟังคงชักห่วงใยต่อโลกในประเด็นนี้เช่นกัน แต่เมื่อนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการรณรงค์เรื่องโลกร้อน <3> ผมกลับเริ่มสงสัยว่าสันติภาพไม่น่าจะเกี่ยวกับโลกร้อนโดยตรง ที่ผ่านมาคนอื่นที่โด่งดังเช่นท่านติช นัท ฮันห์ <4> ผู้นำพระสงฆ์ในสมัยสงครามเวียดนาม ก็ยังพลาดรางวัลนี้มาแล้ว ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ผู้คนมักเชื่อไปในแนวทางเดียวกันโดยไม่มีโอกาสไตร่ตรอง ด้วยเหตุผล ผมจึงขอเสนอบทความนี้เพื่อต่อกรกับการครอบงำ และการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง

An Inconvenient Truth: เท็จหลายเรื่อง
ท่านที่อ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth (AIT) <5> “คงรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน . . . คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก หากจะเรียกขบวนการดังกล่าวว่าเป็นภารกิจกู้โลก เพราะวิกฤตการณ์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินจินตนาการ” <6> วลีที่อ้างถึงนี้สะท้อน “อารมณ์” ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม AIT เป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง และยังแสดงข้อมูลที่เป็นเท็จหลายเรื่อง <7> ซึ่งสังคมมักไม่มีโอกาสรับรู้ เช่น:
1. การมองด้านเดียว: AIT ไม่เคยมองถึงบทบาทที่จำเป็นของน้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน (Hydrocarbon) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจน ช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากร ฯลฯ AIT ละเลยอัตราการตายที่สูงขึ้นในยามที่โลกเย็นลงในอดีตที่ผ่านมา
2. ความเข้าใจผิด: สาเหตุหลักของการตายของมนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะภัยธรรมชาติ คล้ายกับการตื่นกลัวไข้หวัดนกจนเกินเหตุทั้งที่โรคปอดบวมทำคนไทยตายมากมาย โดยในปี 2550 ไม่พบคนป่วยและตายด้วยไข้หวัดนกในประเทศไทย แต่คนไทยป่วยด้วยโรคปอดบวมจนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 88,841 ราย และตาย 765 รายในปี 2549 <8> นอกจากนี้ AIT ยังอ้างทำนองว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกับตน แต่ความจริงเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงข้ามกับ AIT
3. การพูด “ใส่ไข่” จับเอาปรากฏการณ์ครั้งคราวมาเป็นสรณะ: การอ้างว่าหมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะน้ำแข็งละลายทั้งที่เป็นเพราะพายุ การกล่าวถึงฝนตกหนักถึง 37 นิ้วในนครมุมไบในปี 2548 ทั้งที่ตลอด 45 ปี ไม่พบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเลย การโยงเรื่องโลกร้อนกับอุทกภัยในจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่ใน 1-2 ศตวรรษก่อนมีอุทกภัยที่รุนแรงยิ่งกว่านี้มากมาย การโทษว่าโลกร้อนทำให้แนวปะการังเสียหายทั้งที่เป็นเพราะปัจจัยทางเฉพาะ ภูมิภาค ปัจจัยทางสังคมและอื่น ๆ การกล่าวว่าธารน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์จะเลื่อนลงสู่ทะเลทั้งที่ตั้งอยู่ในแอ่ง ที่ไม่มีทางออก
4. การพูดผิดความจริง เช่น การอ้างว่าโลกร้อนในอดีตเป็นเพียงระยะสั้น ทั้งที่มีระยะเวลานับร้อยปีในอดีตที่เคยร้อนกว่าปัจจุบัน จนทำให้ครั้งหนึ่งชาวไวกิ้งสามารถไปตั้งถิ่นฐานในเกาะกรีนแลนด์ที่หนาวเย็น ในขณะนี้ได้ การอ้างว่าโลกร้อนขึ้นมากทั้งที่เพิ่มเพียง 0.17 องศาเซลเซียสในรอบ 30 ปีล่าสุด และร้อนขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปี และที่ผ่านมาก็มีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ การอ้างว่าคลื่นร้อนยุโรปที่ทำให้คนตายมากมายเป็นผลจากโลกร้อนทั้งที่เป็น เพราะสาเหตุอื่น
ในประเทศอังกฤษ มีการฟ้องศาลให้ห้ามฉาย AIT ในโรงเรียนมัธยม ศาลเห็นว่า AIT มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดไปถึง 9 ประการ แต่ให้ฉายได้โดยต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ครูที่จัดฉายต้องชี้ให้นักเรียนเข้าใจถึงข้อผิดพลาดของ AIT ด้วย <9> แต่ในประเทศไทย เรากลับปล่อยให้ฉายหลอกลวงประชาชนอย่างหน้าตาเฉย ตัวอย่างความผิดพลาดสำคัญ ได้แก่ การกล่าวว่าหิมะบนยอดเขาคิลิมันจาโรซึ่งสูงถึง 6 กิโลเมตร ละลายเพราะภาวะโลกร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง สาเหตุการละลายคงเป็นเพราะแสงอาทิตย์ การใช้ที่ดินโดยรอบตลอดจนความร้อนใต้พิภพหรืออื่น ๆ เพราะหากแม้ผิวโลกจะร้อนขึ้น อุณหภูมิบนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 19,000 คนได้ร่วมกันลงชื่อใน The Petition Project <10> ว่า จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าการใช้ Hydrocarbon เพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกแต่อย่างใด แม้โลกได้ร้อนขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่ได้มีผลเสียหายร้ายแรง (อาจมีไวรัสบางชนิดเกิดขึ้น แต่ในช่วงโลกเย็นก็อาจเกิดโรคอื่น) แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในเขตอบอุ่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นผลดีต่อชีวิตสัตว์และทำให้การ เพาะปลูกพืชผลได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงหนุนให้สหรัฐอเมริกาไม่ลงนามในพิธีสารเกียวโต <11> ซึ่งได้กำหนดข้อผูกพันทางกฎหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภาคี
บทวิพากษ์ของ The Petition Project ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
1. การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว ที่ผ่านมามียุคน้ำท่วมโลก และยุคน้ำแข็งสลับกันมาหลายครั้งแล้ว
2. ธารน้ำแข็งเริ่มละลายมานานก่อนการใช้ Hydrocarbon เสียอีก และละลายเร็วในอัตราเดียวกันมาตลอด 150 ปีแล้ว
3. อากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง ภาวะเรือนกระจกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีสาเหตุอื่นอีกมาก เช่น แสงแดด เมฆ ความชื้น การเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำในมหาสมุทร ความร้อนใต้พิภพ ฯลฯ
4. พายุทอร์นาโดมีแนวโน้มลดลง ส่วนพายุเฮอริเคนจากมหาสมุทรแอตแลนติก ก็มีแนวโน้มคงที่ พายุขนาดใหญ่ เช่น Katrina <12> ในปี 2548 อาจเกิดได้เป็นครั้งคราว เราจึงไม่ควรถือเอาปรากฏการณ์ชั่วคราว มาทึกทักปะติดปะต่อกับภาวะโลกร้อน
5. ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 นิ้วในรอบศตวรรษแต่เพิ่มมาก่อนยุคที่ใช้ Hydrocarbon ด้วยซ้ำไป
6. ป่าไม้ (ไม่ใช่สวนป่า) ในสหรัฐอเมริกาได้รับการปลูกเพิ่มขึ้น 40% ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปลูกป่าก็อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขโลกร้อนอย่างมีนัยสำคัญนัก <13>

อย่าให้ใครลวงให้ตื่นตูม
มีอยู่ภาพหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพทะเลสาบ Aral Sea ในคาซัคสถาน <14> ซึ่งแต่เดิมมีขนาดใหญ่มาก แต่กลับแห้งไป มีเรือจอดอยู่บนพื้นคล้ายทะเลทราย ภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ห่วงใยโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นภาพแห่งการโกหกอย่างร้ายกาจ เพราะการเหือดหายไปของทะเลสาบนี้ เป็นผลมาจากการสูบน้ำและเป็นที่คาดหมายมานานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนแม้แต่น้อย

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0025.jpg[/img]
ถ้าวันนี้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ระดับเดียวกับ “กรากะตัว” ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2426 เราคงลืมเรื่องโรคร้อนในบัดดล และนึกว่าโลกต้องแตกแน่แล้ว เพราะ “แรงระเบิดนั้นคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่บนเกาะ พื้นที่ร้อยละ 65.52 ของเกาะกลายเป็นเถ้าธุลีลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร ในรัศมี 240 กิโลเมตร เถ้าธุลีบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิดคล้ายตอนกลางคืน . . . อยู่ห่างถึง 4,776 กิโลเมตรก็ได้ยิน (เสียงระเบิด) . . . เกิดคลื่นสึนามิ สูงกว่า 30 เมตร . . . แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตรวจจับได้แม้แต่ที่สหราชอาณาจักร (อากาศยังเย็นลง 1.2 องศาทั่วโลกเป็นเวลาถึง 5 ปี)” <15>
ท่านทราบหรือไม่ว่าแรงระเบิดของภูเขาไฟที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ภูเขาไฟ Tambora ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2358 ในครั้งนั้นประมาณกันว่ามีขนาดเท่ากับระเบิดปรมาณู 60,000 ลูกรวมกัน ทำให้ท้องฟ้ามืดมิด ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมถึงอังกฤษ <16> แต่โลกเราก็รอดมาแล้ว และกลายเป็นปรากฎการณ์ที่คนส่วนใหญ่ลืมไปหมดแล้วในเวลาอันสั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรปริวิตกกับปรากฏการณ์ชั่วคราวจนเกินเหตุุ

กรณีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในไทย
หลายคนเน้นใช้ความรู้สึกมาบอกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ รุนแรงขึ้น แต่ความจริงก็คือ พายุหมุนเขตร้อนที่เข้ามาในประเทศไทยมีปริมาณลดลงตลอดในช่วงปี 2494-2549 รวมทั้งอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วง พ.ศ.2539-2549 ก็ไม่แตกต่างกันเลย <17> ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยกลับลดลงนับแต่ปี 2483 ที่สำรวจ <18> ความรู้สึกที่ไม่อิงข้อมูล มักทำให้คิดตรงข้ามกับความจริง และมักจะรีบเชื่อเมื่อมีผู้ทำให้ตกใจ

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0026.jpg[/img]
[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image004_0002.jpg[/img]
[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0027.jpg[/img]

ส่วนที่เห็นน้ำท่วมโบสถ์วัดขุนสมุทร <19> นั้น คงเป็นเพราะการทรุดตัวของดินจากผลของการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด การทำลายป่าชายเลน การพังทลายของตลิ่งและอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด เป็นธรรมชาติรอบอ่าวไทย ที่บางส่วนของพื้นที่อาจถูกกัดเซาะ บางบริเวณก็กำลังเกิดที่งอก ในสมัยโบราณ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาแต่เดิมเป็นทะเลทั้งหมด ทุกวันนี้ใต้ท้องนาในจังหวัดอยุธยา ยังขุดทรายมาขายกันได้เป็นล่ำเป็นสัน วัดเจดีย์หอยที่อำเภอลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ก็ยังพบเปลือกหอยทะเลมากมาย แค่น้ำทะเลกัดเซาะวัดขุนสมุทรและบริเวณใกล้เคียงเพียงเท่านี้ ยังเทียบอะไรไม่ได้กับการเกิดภาคกลางของประเทศไทยแต่อย่างใด

[img]http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0028.jpg[/img]

ในประเทศไทยของเรา การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศยังเป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา และเอ็นโซ ตามกระแสน้ำอุ่น <20> แต่กลับมีการกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเป็นสำคัญ

สิ่งที่ต้องคิดทบทวน
โปรดอย่าไพล่เข้าใจผิดว่า เราไม่ควรใส่ใจกับเรื่องโลกร้อนและพาลเข้าใจว่า เราละเลยการรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน บทความนี้เพียงมุ่งตรวจสอบการโฆษณาชวนเชื่อที่ขาดจรรยาบรรณ ทำให้สังคมขาดความรอบรู้และเกิดการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราควรมีเวทีการถกเถียงเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญา มีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่สักแต่เชื่อกันด้วยศรัทธาอย่างมืดบอดอันถือเป็นอันตรายต่อการ พัฒนาคุณภาพชีวิตและปัญญา-ความรู้ของประชาชนในระยะยาว
การใช้อวิชชาหลอกล่อให้คนเชื่อ เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประหนึ่งเห็นชาวบ้านเป็นวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ต้องหลอกล่อด้วยความกลัวถึงผลร้ายของภาวะโลกร้อนจนเกินจริง และด้วยการใช้ความน่ารัก-น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม โปรดสังเกตว่า “หมัดเด็ด” ในการปิดปากผู้สงสัยเรื่องโลกร้อนก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดี ต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจนตามหลักธรรมกาลมสูตร <21> ก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
ผู้ที่กล้าพูดความจริงบางส่วนเพื่อเอาประโยชน์ใส่ตนนับเป็นผู้ที่ น่ากลัว สังคมพึงทราบว่าบ้านของนายอัล กอร์เองกลับใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนอเมริกันทั่วไปถึง 20 เท่า ใช้เงินค่าไฟฟ้าและแก๊สรวมกันปีละเกินกว่า 1 ล้านบาท <22> คนทำดีพูดดีเรื่องโลกร้อนอาจสั่งสมบารมีจนได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา บางคนได้อาชีพเป็นนักอนุรักษ์ นักประท้วง นักแบกป้ายเพื่อ “กู้โลก” หาเลี้ยงชีพไปได้ชั่วชีวิต เป็นต้น
การบิดเบือนความจริงเคยส่งผลเสียหายมากมายมาแล้ว เช่น การที่ NGO บางแห่งเคยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จอย่างร้ายแรงว่า ประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน ทำให้พจนานุกรมลองแมน เคยให้คำจำกัดความของกรุงเทพมหานครว่าเป็นนครแห่งโสเภณีในปี 2536 <23> จะสังเกตได้ว่านักเคลื่อนไหวทางสังคมมักพยายามโฆษณาว่าปัญหาที่ตนเกี่ยว ข้องอยู่มีขนาดใหญ่ ด้วยหวังให้สังคมให้ความสนใจ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนก็ใช้วิธีเดียวกันจนเฝือ สังคมเลย “มึน” และกลับคิดว่าปัญหาทั้งหลายนั้นสุดแก้ไข กลายเป็นปัญหาโลกแตกไป
ทางออกสุดเท่ห์ของการแก้โลกร้อนก็คือการปลูกป่า (ซึ่งถือเป็นรูปแบบการทำดีที่นำสมัยและมีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิการกุศล) โดยไม่นำพาว่าจะรณรงค์ปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจัง ปีหนึ่ง ๆ ป่าไม้ไทยถูกทำลายไปมหาศาลกว่าป่าที่ปลูกใหม่ ต้นไม้ที่ปลูกอย่างลูบหน้าปะจมูกนี้ก็คงตายไปมากกว่าจะอยู่รอดได้ บาปของแฟชั่นการปลูกป่านี้ก็คือการช่วยบิดเบือน ปกปิดไม่ให้อาชญากรรมทำลายป่าได้รับการตระหนักโดยสังคมส่วนรวม
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญ ของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น บางทีถ้าเราเอาเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากทางอื่น ยังอาจได้ประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านี้

[size=20pt]บางที “นักบุญ” ที่พูดกับท่านถึงภาวะโลกร้อนนั้น แท้จริงอาจเป็น “ซาตาน” ผู้ก่ออาชญากรรม ตักตวงประโยชน์ทางการเมือง ฉกฉวยหาประโยชน์เฉพาะตน คนที่กล้า “แหกตา” พวกเราถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นบุคคลอันตราย เราควรรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แต่เราก็ควรส่งเสริมการระดมความคิด ถกเถียงค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีสติ และต่อต้านความงมงายอย่างมืดบอดในทุกรูปแบบ ประเทศชาติจึงจะเจริญด้วยสังคมอุดมปัญญาที่แท้จริง[/size]

ที่มา http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market166.htm

เล่นเว็บฯ drama-addict ก้เลยเจอกระทู้ที่เกี่ยวข้องเข้าให้ :555

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=galama แถมให้อีก